Monday, March 26, 2012

พลังแห่งการหยั่งรู้ Intuitive Power

เราต้องการอะไรมากที่สุดในชีวิต คำตอบก็คือ “ต้องการความสุขและความสำเร็จในชีวิต” เชาวน์อารมณ์ (EQ) ซึ่งจะตรงกับคำว่า “ปัญญา” และ “ศรัทธา” ในทางพุทธศาสนาจึงหมายถึง ความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ของบุคคล ที่ตระหนักถึงความรู้ ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ของตนเอง และผู้อื่น สามารถควบคุมอารมณ์และแรงกระตุ้นภายใน ตลอดจนสามารถ รอคอย การตอบสนอง ความต้องการของตนเองได้อย่างเหมาะสม ถูกกาลเทศะ สามารถให้กำลังใจตนเอง ในการที่จะเผชิญ ข้อขัดแย้งต่างๆ ได้อย่างไม่คับข้องใจ รู้จักขจัดความเครียด ที่จะขัดขวางความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อันมีค่าของตนเองได้ สามารถทำงานกับผู้อื่น ทั้งในฐานะผู้นำหรือผู้ตามได้อย่างมีความสุข จนประสบความสำเร็จในการเรียน ความสำเร็จในอาชีพ ตลอดจนประสบความสำเร็จในชีวิต


องค์ประกอบของเชาวน์อารมณ์ (EQ)


สติ (รู้ว่าอะไรเป็นอะไร)

ปัญญา (การค้นหาทางสำเร็จและเหตุปัจจัย)

ศรัทธา (ความเชื่อในเรื่องกรรมดี)

สมาธิ (ไม่วอกแวกไปกับความโกรธ ความคับข้องใจ ความรู้สึกจากแรงกดดัน)

การปล่อยวาง (การขจัดความเครียด)

อริยสัจสี่ (การหาเหตุเพื่อแก้ปัญหาและดับปัญหาหรือดับทุกข์)

สังคหวัตถุ (การทำงานร่วมกับผู้อื่น)

อิทธิบาทสี่ (การสร้างความสำเร็จในงานที่ตัวเอง)


1. การรู้อารมณ์คน (Knowing One Emotion) หมายถึง ตระหนักรู้ตนเอง สามารถรับรู้และเข้าใจความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ของตนตามความเป็นจริง และสามารถควบคุมความรู้สึกได้

รู้อารมณ์คน : การพิจารณาตนเอง และตัณหา (ความอยาก) การใช้ปัญญาไตร่ตรองทุกสิ่งที่เข้ามากระทบ


2. การควบคุมอารมณ์ (Managing Emotion) หมายถึง ความสามารถในการจัดการ กับอารมณ์ตนเองได้อย่างเหมาะสม ตามสถานการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดความเครียด สามารถคลายเครียด สลัดความวิตกจริตรุนแรงได้อย่างรวดเร็ว ไม่ฉุนเฉียวง่าย ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวหายไปโดยเร็ว

การควบคุมอารมณ์ : การวางอุเบกขา อนุสสติ 10 การละโลภ โกรธ หลง (กิเลส)


3. การเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Recognizing Emotion in Other หรือ Empathy) หมายถึง การรับรู้อารมณ์และความต้องการ ของผู้อื่น เห็นอกเห็นใจ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา และสามารถแสดงออกได้อย่างเหมาะสม

การฝึกสมาธิ พรหมวิหาร 4 สันโดษ


4. การให้กำลังใจตนเองได้ (Motivation Oneself) หมายถึง สามารถจูงใจตนเอง ควบคุมความต้องการจากแรงกระตุ้น ได้อย่างเหมาะสม สามารถรอคอยการสนองตอบความต้องการเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ดีกว่า มองโลกในแง่ดี สามารถจูงใจและให้กำลังใจตนเองได้

การเอาใจเขามาใส่ใจเรา : ศีล เมตตา ทาน


5. การมีมนุษย์สัมพันธ์ดี (Handling Relationship) หมายถึง สามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ มีมนุษย์สัมพันธ์ดี

การมีมนุษย์สัมพันธ์ดี : สังคหวัตถุ 4 สัปปุริสธรรม 7 ทิศ 6


พลังแห่งการหยั่งรู้


พลังแห่งการหยั่งรู้ (Intuitive Power) เป็นแนวคิดใหม่ ที่อิง "จิตวิญญาณ คือ ต้นตอแห่งการเปลี่ยนแปลง" ในวงการบริหาร การพัฒนาผู้นำ และการนำยุคใหม่ จึงจำเป็นต้องใช้การตัดสินใจอย่างฉับพลัน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็วของ “ตัวแปร” จำนวนมาก ซึ่งเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของข้อมูลข่าวสาร การเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ ความนิยม เป็นต้น ซึ่งเป็นเนื้อแก่นของสังคมข้อมูลข่าวสาร ตามกระแสโลกาภิวัฒน์ การเปลี่ยนแปลงในระดับ “คุณภาพ” ใหม่เช่นนี้ จะใช้การตัดสินใจ แบบเดิมๆ ที่อาศัยตรรกะและการวิเคราะห์เชิงตัวเลข ที่เป็นสูตรตายตัว ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันการณ์ได้ แนวคิดหรือเครื่องมือใหม่ที่จะต่อสู้ ก็คือ “พลังแห่งการหยั่งรู้” ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงกับเชาวน์อารมณ์ (EQ) และการปฏิบัติสมาธิภาวนา เชาวน์ปัญญา (IQ) คือ กุญแจไขไปสู่ความสำเร็จ โดยเปิดทางให้กับสมองซีกซ้ายเต็มที่ เนื่องจากปัญหา รอบกายนั้น ส่วนใหญ่จะวนเวียน กับเรื่องกายวัตถุ ต้องชั่ง ตวง วัด และคำนวณเป็นสรณะ ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่ “จับต้องไม่ได้” นั้น ถูกละเลยไป การใช้เชาวน์อารมณ์ จึงกลายเป็นเรื่องส่วนเกิน ไม่มีความจำเป็น และเป็นเรื่องหยุมหยิม ของสตรีเพศ กระบวนทัศน์เก่าเรื่องเชาวน์ปัญญา จึงพบทางตัน เชาวน์อารมณ์ (EQ) ได้รับการยอมรับมากขึ้นทุกที ในการจัดการปัญหาในแทบทุกด้านและวงการ เปิดสมองซีกขวาให้ทำงาน หัวใจของเชาวน์อารมณ์ ก็คือ “พลังแห่งการหยั่งรู้” นั่นเอง ที่แสดงออกมาในรูปของความรู้สึกลึกซึ้งจากภายในกาย มีการประเมินกันว่า ความสำเร็จในชีวิต ของคนยุคใหม่ ต้องอาศัยเชาวน์อารมณ์ถึง 80 % ซึ่งจะเห็นว่าองค์กรธุรกิจแขนงต่างๆ ที่ตระหนักถึงความจริงแท้ในเรื่องนี้ ต่างปรับกระบวนทัศน์ของตน จนเกิดกระแสกระบวนการ “รีเอนจิเนียริ่ง” อย่างต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ การเปรียบเทียบเชาวน์ปัญญาและเชาวน์อารมณ์ ดังแสดงในตาราง


เชาวน์ปัญญา (EQ)กระบวนทัศน์เก่า

เชาวน์อารมณ์ (EQ)กระบวนทัศน์ใหม่

วิธีการ

1. มุ่งไปที่กายวัตถุ

2. มุ่งไปที่นอกกาย

3. มุ่งด้านหยาบ

4. มุ่งความสำเร็จที่ผู้ชนะ


ผลลัพธ์

* หักหาญเอาชนะฝ่ายตรงข้ามหรือคู่แข่ง แย่งกันไปตาย เช่น กรณีวิกฤตเศรษฐกิจ การทำลายล้าง สงครามแย่งชิง
วิธีการ

1. มุ่งไปที่จิตวิญญาณ

2. มุ่งสู่ในกาย

3. มุ่งด้านละเอียด

4. มุ่งความสำเร็จจากการร่วมมือกัน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ผลลัพธ์

* ความสร้างสรรค์ การถนอมรัก การเอาใจเขามาใส่ใจเรา สังคมสงบ เศรษฐกิจพอเพียง





พลังแห่งการหยั่งรู้ เกี่ยวโยงกับการปฏิบัติสมาธิภาวนา เพื่อทำให้เจ้าตัว มีจิตใจที่สงบนิ่ง เยือกเย็น อารมณ์ใสเสมอ ทำให้ข้อมูลของ ตัวแปรรอบด้าน จะถูกดูดเข้าหาตัวเองสู่ “องค์รู้” ภายในได้อย่างสมบูรณ์ สะอาด ไม่เอียงเอน ปราศจากสิ่งขวางกั้น พระพุทธเจ้า ได้ใช้ฌานจาก สมาธิภาวนา จนเกิด พลังแห่งการหยั่งรู้ แล้วตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า จิตใจที่ไร้ความสงบ อารมณ์ที่ขุ่นมัว เครียดขึ้ง เป็นตัวอุปสรรคขัดขวางมิให้ข้อมูลของตัวแปร นานาชนิดเข้าถึง องค์รู้ภายในนั่นเอง ทำให้พลังแห่งการหยั่งรู้ไม่เกิดขึ้น


แนวทางปฏิบัติในการใช้พลังแห่งการหยั่งรู้ ในความเป็นจริงแล้ว เชาวน์ปัญญา ไม่ใช่ของเสียหาย แต่ควรใช้เชาวน์อารมณ์นำ เพื่อวางทิศทาง แล้วใช้เชาวน์ปัญญาเดินตามกรอบของเชาวน์อารมณ์ ผู้บริหารควรหมั่นฝึกสมาธิภาวนา เพื่อให้จิตสงบ ปล่อยวาง ตัดอารมณ์ที่ขุ่นมัวออกไป ขั้นตอนนี้เป็นแค่การฝึกจิตในขณะหลับตา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ช่วงลืมตาในขณะปฏิบัติงาน ก็ต้องฝึกสติ และสมาธิ ให้เหมือนกับตอนหลับตา มิเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร เฉกเช่นแผ่เมตตาตอนหลับตาภาวนาทุกวัน แต่ชีวิตประจำวันไม่ค่อยช่วยใคร เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด แสดงว่าที่เตรียมตัวมาไร้ผลในเชิงปฏิบัติ การทำใจให้ว่าง สว่าง สะอาด สงบ ในขณะปฏิบัติงาน จะเป็นการเปิดช่องทางให้สมองซีกขวารับข่าวสารข้อมูลปัจจัยเหตุต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ และไม่ลำเอียงข้อมูลที่เข้ากับแนวคิดตน (กาลามสูตร) ขณะปฏิบัติงานก็ต้องพิจารณาปัญหา จากตัวแปรข้อมูลต่างๆ พยายามเต็มที่ที่จะเข้าถึงเหตุปัจจัยที่ส่งผลมาถึง ไม่เชื่อง่ายนัก ใช้กาลามสูตรไตร่ตรอง ใช้อริยสัจสี่แก้ปัญหา ใช้พลังการหยั่งรู้ในการตัดสิน วางเป้าหมายที่จะทำงานให้สำเร็จโดยความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เอาใจเขามาใส่ใจเรา ผลักดันให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ หาทางเลือกใหม่ ที่ไม่เบียดเบียนใคร แล้วพางานสำเร็จ สร้างสรรค์ให้ทีมงานทุกคนที่เกี่ยวข้อง สงบ และมีความสุข จากการทำงานอยู่ตลอดเวลา การหาความรู้และข่าวสารข้อมูลอยู่เสมอตามหลักพหูสูตร จัดให้พระสงฆ์มาเทศน์หรือบรรยายธรรมในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน และชีวิตครอบครัวประจำวัน ส่งเสริมให้มีการทำบุญให้ทาน แต่อย่าเน้นเรื่องเงินมากนัก เพราะจะมุ่งไปสู่วัตถุนิยม ให้ทำบุญด้วยสิ่งอื่นที่ใช้เงินน้อย เช่น ธรรมทาน อภัยทาน การถือศีล การเจริญภาวนา การทำแนวคิดให้ถูกต้อง เป็นต้น การใช้ปัญญาของตนเองศึกษางานหรืออาชีพตัวเอง ให้รู้จัก – รู้จริง – รู้แจ้ง หากรู้แจ้งขึ้นมาแล้วจะเกิดญาณหยั่งรู้ขึ้นมา ทำให้สามารถใช้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานได้ศักยภาพของตนเองที่ควรปลูกฝังและพัฒนาอยู่เสมอ มี 4 ประการ คือ

1. พลังจิต

2. พลังสมาธิ

3. พลังปัญญา หรือพลังความคิด

4. พลังความดี/ความรัก หรือทัศนคติทางบวก


ธรรมชาติของบุคคลผู้ประสบความสำเร็จ ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ วิธีการสั่งจิตใต้สำนึก ขั้นพื้นฐาน วิธีการสร้างพลังแห่งความเชื่อมั่นในตนเอง อำนาจแห่งพลังจิตทางบวก การปลูกฝังอุปนิสัยที่ สำคัญลงสู่จิตใต้สำนึก วิธีการพัฒนาพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ (Creative) การพัฒนาทักษะการคิด วิจารณญาณ การบริหารเวลา และการฝึกการกดจุดเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ

1. ภาคทฤษฎี ประกอบด้วย

1.1 ธรรมชาติแห่งพลังจิตใต้สำนึก 12 ประการ

1.2 ศูนย์รวมแห่งพลังงานในร่างกาย

1.3 ราศึทางโหราศาสตร์กับตำแหน่งจักระในร่างกาย

1.4 เคล็ดลับโบราณเกี่ยวกับพลังจิต

1.5 การควบคุมดูแลธาตุต่างๆ ในร่างกาย

1.6 การบำบัด และดูแลสุขภาพโดยอาศัยจักระ และระบบธาตุในร่างกาย

1.7 วิธีการทดสอบพลังจิตรูปแบบต่างๆ

1.8 ทฤษฎีความจำ

1.9 ทฤษฎีเกี่ยวกับการสั่งจิตใต้สำนึก

1.10 ความหมายของการสะกดจิต ประโยชน์ และโทษที่เกิดจากการสะกดจิต

1.11 การประยุกต์ใช้ทฤษฎีต่างๆ เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย

2. ภาคปฏิบัติ ประกอบด้วย

2.1 การฝึกสร้างศูนย์สมบูรณ์

2.2 การใช้พลัง Aura ผ่านจินตนาการเพื่อปรับสภาพจิตใต้สำนึก

2.3 ฝึกสมาธิ และฝึกให้จิตใจรวมตัว

2.4 ฝึกพลังแห่งสายตา

2.5 ฝึกบำบัดอาการป่วยด้วยพลังปราณ

2.6 ฝึกทดสอบสภาวะจิตรูปแบบต่าง ๆ

2.7 ฝึกการสะกดจิต และชักนำจิตรูปแบบต่าง ๆ

2.8 ฝึกความจำโดยใช้จินตนาการช่วยจำ

2.9 ฝึกวิธีการเชื่อมต่อกับจิตเหนือสำนึก เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

3. ภาคทดสอบ

3.1 ทดสอบความเชื่อมั่น ทดสอบความจำ ต้องสามารถจำสิ่งของต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในความคิดได้

โดยเพียงแต่ได้ยิน หรือได้ฟังเพียงครั้งเดียว และสามารถบอกลำดับได้การฝึกการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ : โดยกระบวนการพัฒนาจิตเหนือสำนึก การพัฒนาของ มนุษย์นั้น จะต้องพัฒนา 3 ด้าน คือ ร่างกาย , จิตวิญญาณ และสมอง การพัฒนาสมองโดยการฝึกให้คิด แบบสร้างสรรค์เป็นการพัฒนาที่ง่าย และมีพลังอย่างยิ่งในการที่จะนำความสำเร็จ มาสู่ผู้ที่สามารถพัฒนาได้ กระบวนการฝึกการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ประกอบด้วยการฝึก ดังต่อไปนี้

1. การใช้สมองซึกขวาเชื่อมโยงกับสมองซีกซ้าย

2. การฝึกการคิดนอกกรอบ

3. การฝึกการคิดทางบวก

4. การฝึกการคิดแบบริเริ่ม คล่องตัว ยืดหยุ่น และละเอียดลออ ฯลฯ

และที่สำคัญยิ่ง คือ การฝึกดึงเอาพลังจิตเหนือสำนึก (Super Conscious) ขึ้นมาทำงานใสถานการณ์ ต่าง ๆ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสร้างสรรค์ผลงานที่แปลกใหม่ และมีคุณค่า

พลังจิต (Gsychergy)

พลังจิต (Gsychergy) หมายถึง คลื่นความถี่ของพลังงานความคิด (Pranic Energy) ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก (Proton) ไฟฟ้าลบ (Electron) ที่เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal Gland) ที่สมองตอนบน เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้ จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ขบวนการ ทางความคิด (Thinking Process) นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆ ตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยัง ต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่า เกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้


บุคคลที่มีพลังจิตสูง

บุคคลที่มี พลังจิต สูงคือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่า อัปปนาสมาธิ


การทำงานของ พลังจิต


จิตจะทำงานได้ จิตต้องมีเครื่องมือคือ ร่างกายที่เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ ส่วนของมันสมอง มีหน้าที่รับคำสั่ง ของจิตคือ ต่อมใพเนียล (Pinial Gland) ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆสีแดงอมเทา รูปกรวย เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท ต่อมนี้ อยู่ใน ส่วนกลางตอนบน ของมันสมอง เมื่อ ต่อมไพเนียล รับคำสั่งของจิตต่อมนี้ จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่ จะมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด และคลื่นความถี่นี้ จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆ ทั่งร่างกาย เพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะนั้นๆ พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมอวัยวะต่างๆ จะมีกระแสความถี่ต่างกัน ตามหน้าที่ของอวัยวะ และคนนั้นๆ อีกด้วย เช่น Electron และ Protron ที่ควบคุมการทำงานของ เซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะ ต่างๆ ทำให้มีการสร้าง และการทำลายของเซลล์ได้ตามปกติ เช่น ทำลายไป 10 เซลล์ ก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนเช่นเดิม อวัยวะนั้นจะทำหน้าที่ได้ตามปกติ สร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ให้สูงเป็นปกติ ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์


การศึกษา พลังจิต


ได้มีการค้นคว้าทาง พลังจิต ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่า พลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ เช่น ชาวจีนโบราณเรียกว่า พลังแห่งชีวิต (Life Force Energy) ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่า พลังงานแม่เหล็กสัตว์ (Animal Magnetism) ชาวรัสเซียเรียกว่า พลังงานชีวภาพ (Bioplasmic Energy) นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่า พลังชีวภาพ (Bio Energy) หรือ พลังแม่เหล็กไฟฟ้า (Electo Magnetic Force)


บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงคือ ผู้ที่มีพลังจิตสมบูรณ์ควบคุม อยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น แจ่มใสกระฉับ กระเฉง พลังจิต จะเปล่งเป็นรัศมี ออกโดยรอบ ร่างกาย ตรงกันข้ามคนป่วย จะมี พลังจิต ควบคุมอยู่ เพียงเล็กน้อย ภูมิต้านทาน ในร่างกาย จะลดต่ำลง ร่างกายจะอ่อนแอ และจะมีร่างกายที่ปกติ เหมือนเดิมได้ เมื่อได้รับ พลังจิต นั้นๆเพิ่มขึ้น

ดังนั้น พลังจิต จึงเป็นพลังงาน ที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น การหมุนเวียนของโลหิต การเจริญเติบโตของเซลล์ หากร่างกายส่วนใด ขาด พลังจิต ร่างกายส่วนนั้น จะไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆ ได้ตามปกติ หรือร่างกายไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พลังจิต ที่ใช้กันทั่วไปมี 3 ลักษณะคือ

1. Telepathy คือ พลังงานแห่งเมตตา พลังนี้ติดต่อกันได้โดยทางจิต เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการสร้างสรรค์

2. Telkynesys คือ พลังงานที่ใช้บังคับวัตถุให้เคลื่อนที่ หรือใช้เพื่อทำลายวัตถุต่างๆ เป็นพลังงานที่ใช้ เพื่อการบังคับ หรือเพื่อการทำลาย

3. Teleportation คือ พลังงานที่ใช้เพื่อการล่องหนหายตัว เมื่อใช้พลังงานนี้แล้ว สามารถเดินบนน้ำบนอากาศ หรือเพื่อผ่าน เครื่องกีดขวางได้


พลังจิต ผิดปกติทำให้เจ็บป่วย


จิตมีอำนาจเหนือร่างกาย ที่เรียกว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยจิต เมื่อจิตมีอำนาจของกรรมครอบงำอยู่ จิตนั้นจะสั่งกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือของจิตตามอำนาจ ของกรรมนั้น เช่น จิตมีอำนาจของอกุศลกรรมมาก พลังงานไฟฟ้าที่ออกมา จะไม่มีความสมดุลย์ทางธรรมชาติ เช่น ทำให้พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก พลังงานไฟฟ้าลบสูงมากบ้าง จะมีผลทำให้ระบบการสร้าง การทำลายของร่างกายไม่คงที่ ดังนี้


พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์มากกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างโตกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคบวม เนื้องอก เช่น โรคหัวใจ โรคมดลูก เนื้องอกธรรมดา เนื้องอกมะเร็ง เป็นต้น นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรคมะเร็ง ได้กล่าวถึง ทฤษฏีเกี่ยวกับมะเร็ง ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดว่า เซลล์มะเร็ง เกิดขึ้น ในตัวคนเราตลอดเวลา แต่ถูกทำลายโดย เซลล์เม็ดเลือดขาว ก่อนที่มันจะโตจนก่อพิษภัยแก่ร่างกาย โรคมะเร็ง เกิดขึ้นต่อเมื่อ ระบบภูมิคุ้มกัน ถูกกดดันการทำงานไว้ ทำให้ไม่สามารถขจัด เซลล์มะเร็ง ที่ก่อตัวขึ้น ดังนั้นถ้ามีอะไรก็ตามส่งผลกระทบ ต่อการทำงานของสมอง ที่จะควบคุม ระบบภูมิคุ้มกัน มะเร็งย่อมเกิดขึ้นได้


พลังงานไฟฟ้าลบสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์น้อยกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างเล็กกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของ โรคลีบตีบต่างๆ เช่น หลอดเลือดตีบ ลิ้นหัวใจตีบ กล้ามเนื้อตาย มันสมองฝ่อ ภูมิต้านทานบกพร่อง ตับวาย ไตวาย กล้ามเนื้อหัวใจ ไม่ทำงาน เรียกว่า โรคไหลตาย เด็กเกิดมามี ร่างกาย ไม่สมบูรณ์เป็นต้น พลังงานไฟฟ้าภายในร่างกาย ของแต่ละบุคคลอาจไม่ เท่ากัน ก็เป็นได้ ผมเคยพบว่า การเพิ่มเลือด เกล็ดเลือดให้คนไข้ สภาพร่างกายคนไข้ไม่ยอมรับเลือด หรือเกล็ดเลือดนั้น เพราะเลือดใหม่ และเลือดเก่าไ ม่สามารถเข้ากันได้ แม้ทางการแพทย์จะวิเคราะห์แล้วว่า เป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกัน เมื่อพิจารณา ในสมาธิพบว่า พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมเม็ดเลือดนั้นไม่เท่ากัน แสดงว่า พลังงานควบคุม เม็ดเลือด ของแต่ละคนจะเท่ากัน หรือไม่เท่ากันก็ได้ และพบอยู่มาก กับกลุ่มผู้หลงผิด ที่ไปรับเอา พลังงานอื่น มากดทับ พลังจิต ของตนเอง ทำให้การทำงานของ พลังจิต ของตนผิดไป จิตนั้นจึงสั่งมาที่ สมองของตนผิด การแสดงออกของร่างกายจิตผิดไปด้วย เช่น กลุ่มของคนทรงเจ้าเข้าผี กลุ่มของคน เหล่านี้จะไปรับเอาเวทย์มนต์คาถา ของอิทธิฤทธิ์ ของอาถรรพ์ดวงวิญญาณเข้ามาสิง เช่น ดวงวิญญาณกุมารทอง นางกวัก ปลัดขิก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ น้ำมันพราย หรือองค์เทพต่างๆ มาอยู่กับตน ที่เรียกว่า เดรัจฉานวิชา ไม่เป็นจิตดั้งเดิม ของตนเอง อาการป่วยของบุคคลเหล่านี้ ทางการแพทย์จะตรวจหา สาเหตุไม่พบ


การเพิ่มและการรับพลังจิต


บุคคลที่มีสมาธิดีจะมีคลื่นความถี่ และความรุนแรงของพลังงานความคิดสูง สามารถที่จะส่งพลังงานนั้น ไปยังบุคคลที่ตั้งเป้าหมาย ไว้ได้แน่ชัดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผู้รับได้ตามความปราถนานั้น เรียกว่า การเพิ่มและการรับพลังจิต การเพิ่มแต่ละครั้ง แต่ละคนไม่เหมือนกัน เพิ่มพลังจิต แต่ละครั้งนาน เท่าใด ผู้เพิ่มพลังจิตจะทราบได้ในสมาธิจิตนั้น หากผู้รับยังรับได้ ก็เพิ่มให้ต่อไป หากเห็นว่า พลังจิต ที่ส่งไปนั้นหยุดลง ก็หยุดเพิ่มพลังจิตในครั้งนั้น และต้องเพิ่มพลังจิตกี่ครั้งจึงจะได้ผล สิ่งนี้ไม่มีกำหนด แน่นอนขึ้นอยู่กับผู้รับ หากผู้รับสามารถรับพลังจิตได้มาก และเห็นว่าอวัยวะที่ผิดปกตินั้น เปลี่ยนเป็น ปกติเร็ว พลังจิตที่ส่งไปจะหยุดลง ควรหยุดเพิ่มพลังจิตให้ผู้ป่วยกลับไปทำสมาธิภาวนาด้วยตนเอง ผู้ป่วยจะสร้างพลังจิตที่ดีขึ้นมาได้ พลังจิตนั้นๆ จะบำบัดทุกข์ให้กับผู้ป่วยได้ในที่สุด

การเพิ่มพลังจิตกระทำได้ 3 ทาง คือ

1. เพิ่มที่อวัยวะนั้นโดยตรง

2. เพิ่มที่จุดกำเนิดของพลังจิต คือที่ต่อมไพเนียล

3. เพิ่มพลังจิตให้ครอบคลุมทั้งตัวผู้รับ จะเพิ่มให้ใครที่อวัยวะใดนั้นจะทราบและเห็นได้ในสมาธินั้นๆ


ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดี


ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้คือ เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา และเมื่อเพิ่มพลังจิตให้กับใครก็ตามต้องรู้ทุกข์ รู้สาเหตุแห่งทุกข์ รู้หนทางดับทุกข์ และรู้วิธีการดับทุกข์นั้นๆโดยชัดแจ้งพร้อมตั้งตนอยู่ในพรหมวิหารธรรม และหิริโอตัปปธรรม

ผู้รับพลังจิตที่ดี คือ เป็นผู้ที่มี

1. ศรัทธา ผู้รับต้องมีศรัทธาที่จะรับพลังจิต

2. สมาธิ ผู้รับต้องมีความตั้งมั่นแห่งจิตอยู่กับกายและจิตของตน

3. สติ ผู้รับต้องมีความระลึกได้ว่าตนกำลังรับพลังจิตอยู่

4. ปัญญา ผู้รับต้องรู้จักการปล่อยวางความทุกข์ออกจากจิตใจในขณะนั้น

5. ความขยันหมั่นเพียร การรับพลังจิตนั้นต้องรับสม่ำเสมอและให้ตั้งอยู่ในคำสอนของพุทธองค์เป็นหลัก ดังกล่าวแล้ว


การเพิ่มพลังจิตผ่านบุคคลอื่นวัตถุอื่น

บางกรณีที่จำเป็น คือ ผู้ป่วยไม่สามารถขอรับพลังจิตด้วยตนเองได้ เช่นอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช อยู่ต่างประเทศ ผมได้ทดลองเพิ่มพลังจิตผ่านกระแสจิตของผู้ใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ บุตร สามี ภรรยา ผู้ดูแล หรือผ่านลงไปในน้ำดื่ม ก็สามารถช่วยผู้ป่วยได้บ้างเป็นบางส่วนเท่านั้น

จิตใต้สำนึก Subconscious

ในราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อวิชาจิตวิทยาแรกเริ่มมีฐานะเป็นศาสตร์ แยกตัวเป็นเอกเทศจากเป็นส่วนแทรกอยู่ในศาสตร์อื่น ๆ นั้น ในช่วงนั้นนักศึกษาค้นคว้ามุ่งหาความเข้าใจ จิตสำนึก เท่านั้น ฟรอยด์ เป็นผู้ริเริ่มให้ความสนใจกับ จิตไต้สำนึก เขาเปรียบ เทียบว่า จิตใจมนุษย์ มีสภาพคล้าย ภูเขาน้ำแข็ง ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทร มีส่วนที่อยู่เหนือผิวน้ำเป็นส่วนน้อย ยังมีส่วนอยู่ใต้ผิวน้ำ เป็นส่วนใหญ่ ภาวะจิต ระดับที่มี ความสำนึก ควบคุมอยู่เช่นเดียวกับ ส่วนของน้ำแข็งที่อยู่เหนือผิวน้ำ ภาวะจิตระดับใต้สำนึก เหมือน ส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำ เป็นที่สะสมองค์ประกอบของจิตไว้มากมาย ฟรอยด์อธิบายว่า จิตระดับใต้สำนึก นี้มี กลไกทางจิต หลายประเภท ด้วยกัน เช่น แรงจูงใจ, อารมณ์ที่ถูกเก็บกด, ความรู้สึกนึกคิด,ความฝัน, ความทรงจำ ฯลฯ พลังจิตใต้สำนึก มีอิทธิพลบ เหนือ จิตสำนึกกระตุ้น ให้ปฏิบัติพฤติกรรม ประจำวันทั่ว ๆ ไป, เป็นแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมไร้เหตุผล และผิดปกติในลักษณะต่าง ๆ ฟรอยด์ได้ใช้เวลาศึกษา เรื่องจิตใต้สำนึก อยู่ถึง ๔๐ ปี ได้เขียนหนังสืออธิบายเรื่องนี้ไว้ยืดยาว ภาวะจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก แสดงประกอบด้วยภาพดังนี้

ภาวะสำนึกและจิตใต้สำนึก


รูป เปรียบเทียบจิตทั้งส่วนสำนึก และส่วนใต้สำนึก เหมือน ภูเขาน้ำแข็ง ลอยในมหาสมุทร ส่วนลอยเหนือน้ำต้อง แสงสว่างและอากาศ ปรากฏแก่ สายตาโลก คือ จิต หรือ พฤติกรรม ที่อยู่ในความควบคุมของ ความสำนึกตัว ส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ (ซึ่งปริมาณมากกว่า) อยู่ใน ความมืดกว่า ไม่ปรากฏแก่สายตาโลก คือ จิตใต้สำนึก อันเป็นภาคสะสม ประสบการณ์ในอดีตมากมาย ถูกบีบอัด เก็บกด หรือคอย เพื่อให้สม ปรารถนา เพื่อให้ได้ จังหวะเหมาะ สำหรับตอบสนองสิ่งเร้า อันยังไม่ได้ทำ หรือทำ ไม่ได้ในภาวะปกติ (เช่น กฎหมายห้าม, ประเพณีไม่ยอมรับ ว่าถูก, สังคมไม่นิยม ฯลฯ)

รูปซ้ายมือ เปรียบเหมือนเวลาอันเป็นปัจจุบันเท่านั้น และมีความเป็นปกติบุคคลย่อมรู้สึกสงบ สบาย มีสติ พลังจิตสำนึก ควบคุมพฤติกรรม ทั้งหลาย ให้เป็นไปตามที่เขาเห็นว่า ถูกต้อง,สมควร, ทำโดยเคารพกฎหมายและระเบียบของสังคม, รูปขวามือแสดงว่าเวลาลมฟ้าอากาศ แปรปรวน มหาสมุทรมีคลื่นจัด ภูเขาน้ำแข็งโครงเครง ส่วนที่เคยจมใต้น้ำ โผล่ขึ้นเหนือน้ำ ให้มองเห็นได้ เทียบได้กับยามบุคคล มีอารมณ์ขุ่นมัว เคร่งครัด ด้วยความโกรธ เกลียด อิจฉา พยาบาท กลัว ตื่นเต้น วิตก เจ็บป่วย ฯลฯ พลังจิตใต้สำนึกที่ไม่มีโอกาสได้แสดง พฤติกรรมออกมานั้น มักแปรรูปเป็นพฤติกรรมผิดปกติ รูปใดรูปหนึ่งก็ได้ เช่น รู้สึกกลัวตลอดเวลา กามวิปริตซึมเศร้าตลอดเวลาฯลฯ การช่วยเหลือบุคคล ที่มีพฤติกรรมผิดปกติประเภทนี้ จำเป็นจะต้องเข้าใจหยั่งรู้ถึง พลังจิตใต้สำนึก ที่เป็นต้นเหตุ จิตแพทย์สกุลฟรอยด์ อาจใช้วิธีการสะกดจิต หรือทำการบำบัดแบบ Free Association เพื่อให้คนไข้เปิดเผยพลังจิตใต้สำนึก ซึ่งเขาไม่เคยเล่า, ไม่เคยเปิดเผย, ไม่เคยแสดงออก หรือซึ่งเจ้าตัวเองก็อาจไม่ตระหนักรู้มาก่อน


อนึ่ง พลังจิตใต้สำนึกมีหลายระดับ บางอย่างอยู่ในระดับตื้น บางอย่างอยู่ในระดับลึก และยังแตกต่างกันในแง่พลังแรงเข้ม หรืออ่อน ของการขับดัน ด้วยจากข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้อธิบายหรือทำความเข้าใจได้ว่า คนแต่ละคนแตกต่างกัน ในรูปของ พลังจิตสำนึก และใต้สำนึก ฉะนั้น คนแต่ละคนจึงมีบุคลิกภาพไม่เหมือนกัน




รูปที่ ๓ พลังจิตสำนึกและใต้สำนึก กระตุ้นให้มนุษย์ประกอบพฤติกรรมต่าง ๆ นานา พฤติกรรมบางประเภทถูกกระตุ้นโดยจิตสำนึกอย่างเดียว (เครื่องหมาย ๑) และจิตใต้สำนึกปะปนกัน (เครื่องหมาย ๒) เช่น บางคราวเผลอพูด คิด ทำ แล้วมีสติระลึกได้ทันทีว่าควรหรือไม่ควร จึงเปลี่ยนคำพูด วิธีคิด การกระทำพฤติกรรมบางประเภทถูกกระตุ้นโดยจิตใต้สำนึกอย่างเดียว (เครื่องหมาย ๓) เช่น ความฝัน การพลั้งปาก การทำอะไรอย่างเผลอไผล ไม่รู้ตัว



โครงสร้างบุคลิกภาพ


ฟรอยด์อธิบายว่า โครงสร้างบุคลิกภาพ ประกอบด้วยพลัง ๓ ประการ ได้แก่ Id, Ego และ Super Ego (ยังไม่พบศัพท์ภาษาไทย ที่แปลตรงความหมายอย่างแม่นยำ จึงขอให้ทับศัพท์ด้วยภาษาอังกฤษไปพลางก่อน – ผู้เขียน ) พลังทั้ง ๓ มีลักษณะเฉพาะตัว แต่ก็มีอิทธิพลต่อกันและทำงานร่วมกัน บุคลิกภาพของผู้ใดมีลักษณะใดขึ้นอยู่กับพลัง Id, Ego และ Super Ego ทำงานประสานร่วมกันในลักษณะอย่างไร


(๑) Id เป็นพลังงานติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด จึงหมายรวมทั้งสัญชาตญาณด้วย มักเกี่ยวพันกับการสนองความปรารถนาทางกาย เป็นพลังเพื่อให้ได้มาซึ่งความพอใจโดยไม่คิดคำนึงถึงเหตุผลตามความเป็นจริง หรือความถูกต้องดีงามแล้วพลัง Id จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พลังแสวงหาความสุข (Pleasure Seeking Principle) พฤติกรรมที่เกิดจากการกระตุ้นของพลัง Id มีหลายรูปแบบซึ่งไม่พึงประสงค์จะพรรณนา ณ ที่นี้ ในช่วงวัยเด็กพลัง Id มีหลายรูปแบบ ซึ่งไม่พึงประสงค์จะพรรณนา ณที่นี้ ในช่วงวันเด็กพลัง Ego และ Super Ego หากเก็บถูกกักกันมากเกินไปไม่ให้ได้รับความพึงพอใจ ตอบสนอง Id ดังนี้จะเป็นผลร้ายต่อพัฒนาการบุคลิกภาพที่สมดุล ในภายหน้า เช่น เป็นคนอ่อนไหวง่ายต่อคำสรรเสริญ นินทา เป็นต้น


(๒) Ego เป็นพลังแหงการรู้และเข้าใจ, การรับรู้ข้อเท็จจริง, การใช้เหตุผล, การดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมาย, การแสวงหาวิธีการเพื่อตอบสนองพลัง Id เช่น เมื่อหิว (Id)พลัง Ego ก็จะใช้เหตุผลตรึกตรองว่าจะบำบัดความหิวโดยวิธีใด ตามสถานภาพแวดล้อม เช่น ไปสำรวจตู้เย็น ทำอาหารเอง? ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน?ฯลฯ จึงมีชื่อเรียก Ego อีกอย่างพลัง 'รู้ความจริง' (Reality principle)


(๓) Super Ego เป็นพลังที่เกิดจากการเรียนรู้ เช่นเดียวกับ Ego แต่แตกต่างจาก Ego โดยลักษณะคือเป็นส่วนหนึ่งเกี่ยวกับค่านิยมต่าง ๆ เช่น ความดี ชั่วถูก ผิดมโนธรรม ความยุติธรรม ฯลฯ Super Ego หักห้ามความรุนแรงของพลัง Id โดยเฉพาะพลังจากสัญชาตญาณแรงขับทางเพศและความก้าวร้าว


(๔) การทำงานร่วมกันของพลังทั้ง ๓ : ลักษณะบุคลิกภาพของคนเกิดจาก การทำงานร่วมกันของพลังทั้ง ๓ นี้ พลังใดมีอิทธิพล เหนือพลังอื่น ย่อมเป็นตัวชี้ลักษณะบุคลิกภาพของคนนั้น เช่น ถ้าพลัง Id มีอำนาจสูง บุคลิกของคนผู้นั้นก็เป็นแบบเด็กไม่รู้จักโต, เอาแต่ใจตนเอง ถ้า Ego มีอำนาจสูง คนนั้นจะเป็นคนมีเหตุผล เป็นนักปฏิบัติ ถ้า Super Ego มีอำนาจสูง ก็เป็นนักอุดมคตินักทฤษฎี ดร. ประมวญ คิดคินสัน ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างน่าฟังว่า

"สำหรับบุคลิกภาพอันพึงประสงค์ คือ ความมี Ego เข้มแข็ง สามารถจัดการกับ Id ได้อย่างมีสมรรถภาพ โดยอาศัยหลักแห่งความจริงเป็นที่ตั้ง และสามารถโน้มน้อม Super Ego ให้เข้าสู่หลักแห่งความจริง เพื่อให้เกิดการประสมประสานอย่างสนิทสนมในการดำเนินชีวิต" (๒๕๑๙, หน้า ๒๗๔)

รูปภาพที่ ๔ แสดงการปะทะสังสรรค์ของพลัง id, ego, super-ego ซึ่งเป็นโครงสร้างบุคลิกภาพ บุคลิกภาพสับสนตั้งแต่เบาจนถึงรุนแรงเกิดจากพลัง egoสามารถควบคุมพลัง id และ super-ego ได้ดีเพียงใด


ขั้นตอนการพัฒนาบุคลิกภาพ

Hall และ Lindzey (๑๙๗๘) กล่าวว่า บางทีฟรอยด์อาจเป็นนักทฤษฎีบุคลิกภาพคนแรก ที่อธิบายเรื่องขั้นต้อน การพัฒนาบุคลิกภาพ ของมนุษย์ เขาย้ำนักหนาว่าลักษณะพัฒนาการและประสบการณ์ในวัยทารก และวัยเด็กเป็นรากฐานบุคลิกภาพของมนุษย์เมื่อเป็นผู้ใหญ่ การพัฒนาการในวัยผู้ใหญ่เป็นการเสริมต่อจากรากฐานนั้นความจริงฟรอยด์มี ประสบการณ์เรื่องเด็กไม่มาก เขาศึกษาพัฒนาการวัยเด็กจากการสอบสวนสาเหตุที่ผู้ใหญ่ประสบปัญหาทางอารมณ์ และจิตใจเป็นเวลานาน โดยสืบสาวหา
ต้นเงื่อนของปัญหาต่าง ๆ นั้นที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ฟรอยด์เชื่อว่า ความต้องการทางร่างกายเป็นความต้องการตามธรรมชาติของคน ซึ่งทัดเทียมกับสัตว์ประเภทอื่น ๆ ความต้องการนี้เป็นพลังชีวิต ทำให้คนแสวงหาความสุขความพอใจจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (Zone) ที่แตกต่างไปตามวัย พัฒนาไปเป็นขั้นตอนตามลำดับ เริ่มต้นจากแรกเกิดจนสิ้นสุดในวัยรุ่น พัฒนาการนี้เรียกว่า "Psychosexual developmental stage" บุคคลใดพัฒนาไปตามขั้นตอนดังกล่าวด้วยดี ก็จะทำให้บุคคลผู้นั้นมีพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ หากไม่เป็นไปดังกล่าวก็จะเกิดสภาวะ "ติดข้ออยู่" (fixation)อาจเป็นการติดต่อข้องอยู่ในขั้นใดขั้นหนึ่งหรือหลายขั้นก็ได้ ผู้ใดติดข้องอยู่ในวัยใดขั้นใด ก้ยังคงแสวงหาความพอใจในขั้นที่ติดข้องอยู่ต่อไปแม่ว่าจะผ่านวัยนั้น ๆ ที่เป็นไป ตามขั้นตอนมาแล้ว สภาพ "ติดข้องอยู่" มีผลต่อพัฒนาการด้านบุคลิกภาพในแง่ลบ แต่บุคคลสามารถเปลี่ยนพลังนี้ให้เป็นบวกได้ หากเขารู้จักปรับตัว
ฟรอยด์ได้อภิปรายถึงขั้นตอนทั้ง ๕ ดังต่อไปนี้

(๑) ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะปาก (Oral stage) ช่วงนี้โดยประมาณตั้งแต่คลอดจนถึง ๑๘ เดือน ทารกมีความสุขในชีวิตโดย ทำกิจกรรมต่าง ด้วยปาก เช่นการดูด เคี้ยว กัด เล่นด้วยเสียง ผู้ที่มีพัฒนาการขั้นนี้ไม่สมบูรณ์ในช่วงวัยนี้ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ยังชอบ แสวงหาความสุขด้วยปากอยู่อีก เช่น ชอบกินจุบจิบ ชอบพูดคุย ชอบ เคี้ยวหมากฝรั่ง ชอบนินทา ชอบสูบบุหรี่ ฯลฯ

(๒) ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะทวารหนัก (Anal stage) ช่วงนี้อายุโดยประมาณตั้งแต่ ๑๘ เดือนถึง ๓ ปี เป็นช่วงที่ทารก หาความสุข โดยทำกิจกรรมที่ใช้ทวารหนัก หากช่วงเวลสนี้มีพัฒนาการไม่สมบูรณ์ทารกนั้น จะโตเป็นผู้ใหญ่ ที่มีบุคลิกภาพเป็น คนเจ้าระเบียบ จู้จี้พิถีพิถัน รักความสะอาดอย่างมาก

(๓) ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะเพศปฐมภูมิ (Phallic stage) ช่วงนี้อายุโดยประมาณตั้งแต่ ๓ ถึง ๖ ปี เด็กมีความพึงพอใจ ทำกิจกรรมที่เนื่องด้วยอวัยวะเพศ เช่น เล่นกับอวัยวะเพศของตน กิจกรรมนี้อาจทำให้พ่อแม่ตกใจ ควรทำความเข้าใจเสียว่า เป็นการเล่นขั้นหนึ่งในการพัฒนาการตามธรรมชาติ เมื่ออายุผ่านพ้นไปแล้วเด็กเลียน แบบผู้ใหญ่เพศเดียว กับตน ซึ่งตนรู้สึกรัก ใกล้ชิดสนิทสนม ถ้าตัวแบบนั้นเป็นพ่อแม่ของตน จะเป็นยุคเด็กชาย "ติดแม่" และ "เอาอย่างพ่อ" เป็นพิเศษในเพศกลับกัน เด็กหญิง "ติดพ่อ" และ "เอาอย่างแม่" เป็นพิเศษเช่นเดียวกัน ช่วงนี้ฟรอยด์เชื่อว่าเป็นช่วงเวลาวิกฤต (Critical period) สำหรับเลียนบทบาททางเพศให้คล้อยตามเพศของตนเอง เด็กหญิงเด็กชายที่ละเลย การเลียนแบบให้ถูกแนวในระยะเวลานี้ จะโตเป็นหญิงสาวชายหนุ่มที่นิยม แบบบทบาททางเพศตรงข้ามกับ เพศทางกายจริงของตน ฟรอยด์ยังเชื่อว่า การรู้จักผูกรักกับเพศตรงข้ามมีต้นกำเนิด ในช่วงเวลานี้เช่นกัน และเขายังอธิบายปมเอดิปัสไว้อย่างละเอียดว่าพัฒนาขึ้นในระยะเวลานี้ ซึ่งฟรอยด์ได้อธิบายเกี่ยวกับปม (Complex) นี้อย่างละเอียดแต่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้อย่างสังเขปมาก พร้อม ๆ กับการเลียนบทบาททางเพศ เด็กเริ่มพัฒนาความก้าวร้าว, อยากเป็นตัวของตัวเอง และเริ่มแสวงหาอัตลักษณ์แห่งตน (Self Identity)

(๔) ขั้นแสวงหาความสุขจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว (Latency stage) ช่วงนี้อยู่ระหว่างอายุประมาณ ๖ ถึง ๑๑ ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาพัก พัฒนาทักษะใหม่ (ศัพท์วิชาจิตวิทยาพัฒนาการเรียกว่า ระยะ plateau) พัฒนาการส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นไปอย่างเชื่องช้า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา ระยะเวลานี้เด็กเริ่มพัฒนาชีวิตสังคมนอกครอบครัว ดังนั้นจึงแสวงหาความพึงพอใจ จากการติดต่อ กับผู้คนรอบตัวและเพื่อนร่วมวัย เพื่อนสนิทเป็นคนเพศเดียวกันมากกว่าคนต่างเพศ ทั้งนี้เป็นการสืบเนื่องจาก การเลียนและ เรียนบทบาททางเพศต่อออกไปจาขั้นที่ ๓ ข้างต้นดังนี้

(๕) ขั้นแสวงหาความสุขจากแรงกระตุ้นของทุติยภูมิทางเพศ (Genital stage) เด็กอายุประมาณ ๑๒ ถึง ๒๐ ปีย่างเข้าสู่วัยรุ่น และเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ลักษณะทุติยภูมิ ทางเพศบรรลุวุฒิภาวะสมบูรณ์ทำงานได้เต็มที่ (เช่น เด็กหญิงมีระดูหน้าอกขยาย รังไข่ผลิตไข่ เพื่อสืบพันธุ์ เด็กชายถึงวัยผลิตน้ำอสุจิ ฯลฯ ) เด็กทั้งสองเพศมีความพอใจ คบหาสมาคม รักใครผูกพันกับเพื่อนต่างเพศ ขณะเดียวกันก็พยายามประพฤติตนให้สมบทบาททางเพศ โดยเลียนแบบคนเพศเดียวกันที่ตัวนิยม ระยะนี้มักเห้นแจ่มแจ้งว่า เด็กคนใดแสดงบทบาททางเพศผิดปกติ พวกนี้ได้แก่ผู้นิยมแสดงบทบาททางเพศตรงข้างเพศจริงของตน อีกพวกหนึ่งคือ เด็กที่ไม่มีเยื่อใย ต้องใจบุคคลต่างเพศ หรือเป็นเด็ก เลียนแบบบทบาททางเพศจากคนต้นแบบที่ผิด (เด็กที่แสดงบทบาททางเพศผิด ๆ ที่เรียกว่า ทอม ดี้ ตุ๊ด นั้นมีสาเหตุอย่างไรเป็นเรื่องยืดยาวเกินที่จะบรรยายได้ในที่นี้)
ผู้มีอายุตอนปลายในขั้นตอนนี้ ถ้าไม่ติดพันกับการศึกษา หรือการเริ่มอาชีพแล้ว มักแสวงหาคู่ครองแต่งงาน และครอบครัว
ฟรอยด์ย้ำว่า เมื่อเด็กพัฒนาถึงขึ้นนี้แล้วมิได้หมายความว่า เลิกแสวงหาความสุขจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ทางปาก ทางทวารหนัก ที่ผ่านมาแล้วในวัยต้น ยังอาจแสวงหาความสุขแบบนั้นต่อไป แต่ลดความติดใจและความเข้มข้นลง ผู้ที่พัฒนาตามขึ้นไม่สมบูรณ์ก็เกิดภาวะติดข้องอยู่ ซึ่งอาจเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมแอบแฝงรูปแบบ ต่าง ๆ หรือเปลี่ยนเป็นรูปแบบอย่างอื่น ทางอ้อมแต่แรงจูงใจที่เป็นพื้นฐานคือภาวะติดข้องอยู่

กล่าวโดยสรุป บุคลิกภาพที่ดี คือการประสมประสาน การได้รับความพอใจตอบสนองแรงกระตุ้นจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเหล่านั้น ในอัตราส่วนที่เหมาะเจาะพอควรสมตามวัย แนวคิดเรื่อง Psychosexual developmental stage สัญชาติญาณ
ฟรอยด์กล่าวว่า สัญชาตญาณเป็นเรื่องที่อธิบายยากมาก เพราะตนเองก็ยังไม่เข้าใจสัญชาตญาณทั้งหมด อย่างดรก้ดีเขาได้อธิบาย สัญชาตญาณ ๒ ประเภทไว้ คือ ฐิติสัญชาตญาณ (Life Instinct) หรือมุ่งเป็น และภังคสัญชาตญาณ (Death Instinct) หรือมุ่งตาย (ศัพท์ 'ฐิติ' และ 'ภังคะ' เดิมเป็นศัพท์ในคัมภีร์พุทธสาสนา พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน รับเข้าบรรจุไว้เป็นคำไทยแล้ว มีความหมายตรงตัว กับศัพท์อังกฤษในที่นี้จึงได้นำมาใช้) ๗๘๕๔


อานุภาพแห่งพลังจิตใต้สำนึก

รวบรวมจาก หนังสือ "พลังจิตใต้สำนึก"

โดย Dr Joseph Murphy


1. คุณเกิดมาเพื่อชัยชนะ และฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงด้วยพลังที่ทรงอานุภาพภายในกาย ซึ่งรอให้คุณปลุกขึ้นมาใช้ประโยขน์

2. จรงสร้างภาพแห่งความสำเร็จ และตระหนักถึงจุดมุ่งหมายในชีวิต จากนั้นจิตใต้สำนึกก็จะสนองตอบ และผลักดันให้คุณบรรลถึง ซึ่งความสำเร็จ

3. แนวคิดต่างๆล้วนถูกลำเลียงสู่จิตใต้สำนึก ด้วยการกล่าวย้ำซ้ำทวน รวมทั้งการมีความเชื่อมั่น และคาดหวัง

4. กฎแห่งจิตใต้สำนึกไม่มีวันล้มเหลว และอะไรก็ตามที่ประทับลงไปในนั้น มันจะทำให้ปรากฎเป็นจริงขึ้นมา

5. คุณร่ำรวยเพราะสิ่งที่มีอยู่ภายใน... ทุกอย่างเป็นไปตามความเชื่อของคุณนั่นเอง

6. สูตรมหัศจรรย์แห่งความสำเร็จ คือการกล่าวย้ำซ้ำเตือนด้วยอารมณ์ความรู้สึกว่า..... "พระเจ้าทรงชี้แนะวิถีทางที่ดีกว่า เพื่อให้ฉันได้มีโอกาสรับใช้มนุษยชาติ

7. "ฉันเคารพ และอัญเชิญพระเจ้ามาประดิษฐานอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ฉันดำรงรักษาไว้ซึ่งความมีสุขภาพดี ความเลื่อมใสศรัทธา และเคารพยำเกรงต่อสภาวะแห่งความประเสริฐสุดภายในกาย"

8. จงตัดสินใจควบคุมชีวิตของเราเอง และคิดอย่างสร้างสรรค์ตามแนวทางของพระเจ้า เพื่อมิให้ต้องพบกับการแกว่งไกวของโชคเคราะห์

9. จงเดินทางเข้าไปในจิตวิญญาณ แล้วคุณจะค้นพบความร่ำรวยแห่งสวรรค์ แฝงฝังอยู่ในส่วนลึก

10. จงปรับคลื่นเข้าสู่พลังอันไร้ของเขต พร้อมกับล่วงรู้และรู้สึกว่าพลังไร้ขอบเขตเบื้องบนได้กำหนด ควบคุมและชี้นำชีวิต แล้วคุณจะถูกนำไปสู่ชีวิตที่สร้างสรรค์และสมดุล เป็นอิสระหลุดพ้นจากการแกว่งไกวอย่างรุนแรงของโชคชะตา

11. เราสามารถหนุนเนื่องตัวเองให้อยู่เหนือภาวะจำยอม และพันธนาการทั้งหลาย ของมวลแห่งจิตใจ ด้วยการอัญเชิญพระเจ้าเข้ามาอยู่ในจิตใจ และตระหนักว่า ความรักของพระองค์ อาบไร้จิตวิญญาณ ส่วนปัญญานั้นชโลมความคิดของคุณ

12. ความร่ำรวยเริ่มต้นที่ตัวคุณ ความคิดและความรู้สึกเป็นผู้สร้างโชคชะตา พลังอำนาจ คุณสมบัติ และศักยภาพต่างๆ แห่งพระเจ้า ถูกปิดกั้นอยู่ภายในจิตใต้สำนึก และคุณมีกุญแจที่เปิดเข้าสู่ขุมทรัพย์ภายใน นั่นก็คือ "ความคิดของคุณเอง"

13. มีพลังซ่อนเร้นอยู่ในตัวเราซึ่งสามารถหนุนเนื่องให้หลุดพ้นจากความเจ็บไข้ได้ป่วย จัดวางคุณไว้บนเส้นทางสู่ความสุขสงบและพรอันประเสริฐทั้งมวลแห่งชีวิต

14. มิใช่พายุ แต่เป็นใบเรือที่กำหนดทิศทางเรือฉันใด ความคิด ความรู้สึก และภาพจินตนาการของคุณ ที่กำหนดอนาคต และนำความร่ำรวยมาสู่ชีวิต

15. ความเชื่อมั่นศรัทธาคือการคาดหมาย อย่างมั่นใจว่า ภาพจินตนาการที่คุณสร้างขึ้นในใจจะกลายเป็นจริง

16. จงเติมจิตสำนึกด้วยสัจธรรมแห่งพระเจ้า แล้วคุณจะลบล้างและถอนรากถอนโคนรูปแบบในทางทำลายออกไป จากจิตใต้สำนึก ได้อย่างหมดสิ้น

17. การปรากฎของพระเจ้านั้น มาในรูปแบบของระเบียบวินัย ความสอดคล้องกลมกลืน สุขสงบ ความรัก การมีสุขภาพแข็งแรง และความเพียบพร้อม

18. จิตของพวกเราเป็นหนึ่งเดียว จิตไม่อยู่ในเงื่อนไขของเวลาและระยะทาง

19. เราสามารถพัฒนาประสาทสัมผัสพิเศษ โดยการถ่ายทอดแนวความคิดนี้ลงสู่จิตใต้สำนึก อันเป็นรากฐานที่ตั้งของประสาทสัมผัสพิเศษ ทั้งหลายทั้งปวง

20. หน้าที่หลักของมนุษย์ คือการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

21. จงทำตัวให้ใกล้ชิดพระเจ้า แล้วพระองค์จะใกล้ชิดท่าน

22. ทุกๆสิ่งเกิดขึ้นเป็นคู่เสมอ เช่นกลางวัน-กลางคืน รุ่งเรือง-เสื่อมถอย, เหนือ-ใต้, ชาย-หญิง, สร้างสรรค์-ทำลาย, ใน-นอก, หวาน-ขม, หยุดนิ่ง-เคลื่อนไหว, ดีใจ-เสียใจ

23. ความคิดของคุณ เกิดขึ้นเป็นคู่เสมอ ความคิดที่มาจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 ต้องมลายไป และความคิดที่มีอยู่ในพระเจ้า จะต้องถูกฟื้นฟูและดำรงอยู่ในตัวคุณ

24. จงแนบชิดสนิทกับพระเจ้า แล้วคุณจะมีจิตใจที่เยือกเย็นบรรลุถึงความมุ่งมาดปรารถนาทั้งมวล

25. ความสงบเย็นและความสันติสุขของพระเจ้า รอคอยอยู่หน้าประตูแห่งจิตวิญญาณของคุณตลอดเวลา

26. คุณเกิดมาในโลกนี้เพื่อแสดงตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ในสิ่งที่อยากทำ

27. คุณเป็นแม่พิมพ์ ผู้กำหนดรูปแบบและสร้างโชคชะตาตนเองด้วยวิถีแห่งความคิด

28. จิตใต้สำนึกของคุณ ตอบสนองต่อธรรมชาติแห่งความคิดและจินตนาการของจิตสำนึก

29. จงเรียกร้องต่อความเฉลียวฉลาดไร้ขอบเขตภายใน ให้แสดงแนวคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่อย่างชัดเจน.......จงเชื่อมั่น เพราะสิ่งต่างๆล้วนเป็นไปตามความเชื่อของคุณ

30. เจตนารมณ์ของพระเจ้า ก็คือให้คุณมีชีวิตที่มั่งคั่งสมบูรณ์ในโลกนี้

31. จิตแห่งสากลจักรวาล มีช่องทางนับพันๆล้านในการอำนวยพรอันประเสริฐ และคุณคือช่องทางของพระเจ้า จงยอมรับความดีงาม ของคุณเสียแต่บัดนี้

32. ถ้าใครบางคนชี้แนะว่า คุณเกิดมาเพื่อความสำเร็จหรือมีชัยชนะเหนือปัญหาชีวิตทั้งหลาย และคุณยอมรับสิ่งนี้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยปราศจากความเคลือบแคลงแม้แต่น้อย ความมหัศจรรย์ ก็จะปรากฎขึ้นในชีวิตคุณ

33. จงมองให้เหนือกว่าภาพที่ปรากฏ และมุ่งมั่นอยู่กับความปรารถนาให้สิ่งที่มุ่งหมายกลายเป็นจริง แล้วคุณจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้

34. จงเชื่อมั่นในความดีงามแห่งพระเจ้า เชื่อในแรงบันดาลใจ เชื่อในชีวิตที่มั่งคั่งยิ่งๆขึ้นไป

35. คุณคือท่อธารแห่งพระเจ้า ดังนั้นความร่ำรวยจะหลั่งไหลผ่านตัวคุณโดยไม่จำกัด

36. จงเชื่อมั่นว่า คุณคือบุตรแห่งพระเจ้า และเชื่อว่าคุณได้รับถ่ายทอดคุณสมบัติและพลังอันไร้ขอบเขตแห่งพระเจ้า หากยึดมั่นความเชื่อนี้ไว้อย่างเหนี่ยวแน่น ก็จะสามารถสร้างความมหัศจรรย์ให้กับชีวิต จงเชื่อมั่นว่าคุณสามารถทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จลงได้ด้วย พลังอำนาจ อันเข้มแข็งแห่งพระเจ้าที่ส่งผ่านตัวคุณ

37. ถ้าคุณกล่าวกับภูเขาแห่งความยากลำบาก อุปสรรค ปัญหา ให้เคลื่อนย้ายด้วยความเชื่อมั่นว่าพลังอันไร้ของเขตสามารถดลบันดาล มันก็จะกลายเป็นจริง

38. ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามความเชื่อของคุณ จงเชื่อมั่นว่า พลังอันไร้ของเขตของพระเจ้า.......สรรพสิ่งล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น

39. ศรัทธาที่แน่นเหนียว การคาดหมายที่ยิ่งใหญ่ ไฟแห่งจินตนาการ

40. ศรัทธาบำบัด เกิดด้วยแรงศรัทธาเชื่อมั่น จิตวิญญาณบำบัด คือปฏิกิริยาที่สอดคล้องของจิตสำนึก และจิตใต้สำนึก เป็นการชี้นำอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มันมิใช่สิ่งที่เราเชื่อมั่น แต่เป็นตัวความเชื่อมั่นเอง ที่ก่อเกิดพลังบำบัดอันน่าทึ่งขึ้นมา

41. จงแปลเปลี่ยนความคิด แล้วโชคชะตาของคุณจะเปลี่ยนไป

42. จงรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าความรักของพระเจ้าห้อมล้อมคุณ

43. วิธีการซึมซับจิตใต้สำนึกของคุณไว้ด้วยความร่ำรวยอันมั่นคง ก็คือสงบจิต ระงับใจให้หลับไปทุกๆคือนพร้อมกับถ้อยคำที่ว่า "บัดนี้ความร่ำรวยเป็นของฉัน" แล้วความมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นในชีวิต

44. ความศรัทธาในจิตใต้สำนึก ก็คือความร่ำรวยของคุณนั่นเอง

45. มีจิตดวงหนึ่ง เป็นจิตที่เป็นสากล ทุกสิ่งที่ดีงามมาจาก หรือถูกฝากไว้ที่จิตดวงนี้ คุณจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่อยู่ในจิตสากล โดยการปรับคลื่นเข้าไปหาเท่านั้น

46. "หากสูเจ้าต้องการความมั่งคั่ง สูเจ้าต้องไม่ครอบครอง"

Thursday, March 15, 2012

ความลับแห่ง คัมภีร์มรกต : ความลับแผ่นที่ 2

The Halls of Amenti

ลึกไปใจกลางโลก The Halls of Amenti ทอดตัวอยู่ ไกลจากสถานที่ Atlantis จม สถานที่แห่งความตายและสถานที่แห่งชีวิต สถานที่มีไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญไม่มีที่สิ้นสุด
เป็นระยะเวลายาวนานที่ ทายาทแห่งแสงสว่าง มองลงมาบนโลก
มองทายาทแห่งมนุษย์ในความเป็นทาสของเขา ส่งแรงผูกพันมาจากภายนอก
รู้ว่าพวกเขาสามารถเป็นอิสระจากความเป็นทาสออกจากโลกถึงพระอาทิตย์
ลงมาสืบเชื้อสายของพวกเขาและสร้างร่างกาย
รับรูปร่างหน้าตาของมนุษย์มาเป็นของตนเอง
อาจารย์แห่งทุกสรรพสิ่ง กล่าว หลังจากมีรูปร่างว่า

พวกเราก่อตัวขึ้นจากฝุ่นผงแห่งจักรวาล
รวบรวมจากชีวิตที่ไม่สิ้นสุด
มีชีวิตอยู่บนโลก โดยการเป็นทายาทแห่งมนุษย์
เหมือนและกระทั่งไม่เหมือนทายาทแห่งมนุษย์

และอาศัยอยุ่ในสถานที่แห่งนี้
ไกลจากผิวเปลือกโลก
สร้างพื้นที่ว่างให้พวกเขา ด้วยพลังของพวกเขา
พื่นที่ว่าง ห่างไกลจาก ทายาทแห่งมนุษย์
ล้อมรอบเขาด้วยพลังและอำนาจ
ปกป้องพวกเขา จาก the Halls of the Dead

ทุกๆด้าน แล้ววางพวกเขาไว้ ณ ที่อื่นๆ

เติมเต็มพวกเขาด้วยชีวิตและแสงสว่างจากเบื้องบน
แล้วพวกเขาสร้าง the Halls of Amenti
สถานที่ที่พวกเขาอาศัยไปชั่วนิรันดร์ ด้วยการตายอันไม่มีที่สิ้นสุด



30 และ 2 แห่งของทายาทแห่งแสงสว่าง ผู้อยู่ท่ามกลางหมู่มนุษย์
ค้นหาอิสรภาพจากการเป้นทาสของความมืด ผุ้ซึ่งมีแรงพันธนาการอย่างล้นเหลือ

ลึกลงไป ใน the Halls of Life ดอกไม้ได้เติบโตขึ้น ขยายพันธุ์สวนทางกับรัตติกาล


ใจกลาง พลังที่ยิงใหญ่ ชีวิตแห่งการให้ แสงสว่างแห่งการให้
เติมเต็มด้วยพลังทั้งหมดให้ผู้ที่มาอยู่ใกล้มัน
วางมันอยู่รอบๆบัลลังก์
2 และ 30 สถานที่สำหรับวางแต่ละ ทายาทแห่งแสง
วางไว้เพื่อให้เขาอาบในรังสีของแสง
เติมเต็มด้วยชีวิตจากแสงสว่างอันนิรันดร์
เวลานั้น หลังจากพวกเขาได้สร้างร่างกายครั้งแรก ดังนั้นเขาต้องเติมเต็มด้วยจิตวิญญาณแห่งชีวิตเข้าไป

100 ปี จาก 1000 ชีวิตต้องรับแสงแห่งชีวิตสู่ร่างกายพวกเขา ปลุกจิตวิญญาณแห่งชีวิต

นี่คือวัฏจักรจากรุ่นสู่รุ่น
ที่อยู่แห่งชีวิตของเหล่าอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีผู้ใดรู้
ท่านหลับอยู่ใน the Halls of Life
เป็นอิสระที่จะย้ายวิญญาณเข้าสู่ร่างกายมนุษย์
ครั้งแล้งครั้งเล่าที่พวกท่านหลับลง
จุติลงมาในร่างกายมนุษย์
สั่งสอนและชี้นำ ตั้งแต่เบื้องต้นและเบื้องปลาย
หลีกหนีจากความมืดสู่แสงสว่าง
ใน the Hall of Life
เติมเต็มด้วยความรู้ของพวกเขา ที่เหล่ามนุษย์ไม่เคยรู้ ไปยังมนุษย์
อยู่ตลอดไปด้วย ไฟแห่งชีวิต จาก ทายาทแห่งแสงสว่าง
เวลาเมื่อพวกเขาตื่นขึ้น
มาจากส่วนลึกที่สุด เพื่อเป็น แสงสว่างให้หมู่มนุษย์
ไม่มีขีดจำกัด จำนวน
เขาผู้ก้าวพ้นจากความมืด
ย้ายตนเองจากความมืดสู่แสงสว่าง
the Halls of Amenti ทำให้เขามีอิสระ
ความอิสระแห่ง ดอกไม้แห่งแสงสว่าง และ แห่งชีวิต
แนะนำเขาด้วยภูมิปัญญาและความรู้ จากชายคนหนึ่ง เป็น the Master of Life

โดยเขาจะที่นั่นอยู่เพียงคนเดียวกับ the Masters
เป็นอิสระจากพันธนาการแห่งความมืดมิด
นั่งอยู่ภายในดอกไม้แห่งแสงสว่าง ที่ตั้งแห่ง Lords ทั้ง 7 จาก Space-Time เหนือพวกเขา

ช่วยเหลือและแนะนำด้วยภูมิปัญญาอันมหาศาล
ผ่านการเดินทางกาลเวลาของทายาทแห่งมนุษย์
ยิงใหญ่และแปลกประหลาด ,พวกเขาถูกปกคลุมด้วยพลังเงียบ ความรู้ทั้งหมด ดึงดูดชีวิตที่แตกต่างสู่ทายาทแห่งมนุษย์ 1 เดียวผู้นั้น

ใช่, ความแตกต่างและ ทายาทของมนุษย์เพียงคนเดียว

เหล่าผู้ปกครอง และ ผู้คุมของผู้เป็นทาส
พร้อมที่จะถูกปลดปล่อยเมื่อแสงสว่างมาถึง

อันดับแรกและสำคัญที่สุด
สถานที่ถูกปกครองโดย
Lord of Lords 9 นิรันดร
ที่อยู่นอกเหนือจากกฏของจักรวาล
กำลังชั่งและกำลังดู ความก้าวหน้าของมนุษย์
ภายใต้เขา ณ the Lords of the Cycles;
3,4,5 และ 6,7,8
ตามแต่ละหน้าที่ของเขา
พลังของแต่ละคน
แนะนำ กำหนดโชคตาของคน
ที่นั่นพวกเขา ยิ่งใหญ่และมีความศักยภาพ

เป็นอิสระจากเวลาและจักรวาล
แต่นี่ไม่ใช่โลกของพวกเขา
บัดนี้ คล้ายกัน กับเขา
พี่น้องมีตำแหน่งสูงกว่าของทายาทแห่งมนุษย์
ทำหน้าที่การตัดสินและชั่งน้ำหนัก
พวกเขาด้วยภูมิปัญญาพวกเขา

คอยดูการพัฒนาแสงสว่างในหมู่มนุษย์

ที่นั่น ก่อนพวกเขาจะนำฉันไปโดยผู้อยู่อาศัย
ผสมผสานให้เป็นหนึ่งเดียวกับเบื้องบน
เขาพูดเสียงว่า

Thoth ท่านคือสิ่งที่ดีที่สุดในหมู่ ทายาทแห่งมนุษย์
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปท่านได้รับอิสระจาก the Halls of Amenti
อาจารย์แห่งชีวิต ในหมู่ ทายาทแห่งมนุษย์
ท่านไม่ต้องรับรสชาติแห่งความตาย

ดื่ม ท่าน แห่ง ชีวิต ถึง ความตายที่ไม่มีวันที่สิ้นสุด
นับจากนี้ไปตลอดกาลคือชีวิตของเจ้า สำหรับ ผู้เสียสละ
ตั้งแต่บัดนี้เป้นต้นไป เป็น การตาย ที่ เรียกจากมือของเจ้า
อาศัยอยู่ที่นี่ หรือ ออกจากที่นี่ เมื่อ ท่าน ปรารถนา
อิสระที่จะอยู่ใน Amenti ถึงการเป็น บุตรของมนุษย์
รับชีวิตของท่านในรูปแบบที่ท่านปรารถนา
ทายาทแห่งแสงสว่างได้เจริญเติบโตในหมู่มนุษย์กลุ่มนั้น
เลือกที่จะทำงานของท่านเพื่อดวงวิญญาณทั้งหมดที่ต้องตกระกำลำบาก
ไม่เคยได้รับอิสระจากเส้นทางแห่งแสงสว่าง

One step thou has gained on the long pathway upward,
ขั้นแรก เจ้าจะได้รับเส้นทางอันยาวไกล
infinite now is the mountain of Light.
ไม่มีที่สิ้นสุดในขณะนี้ เป็น ถูเขาแห่งแสงสว่าง
Each step thou taketh but heightens the mountain;
ถัดจากนั้น ท่าน รับ แต่เป็นภูเขาที่สูงมาก
all of thy progress but lengthens the goal.
ทั้งหมดของความคืบหน้า แต่ เป้าหมายที่ยาวไกล

Approach ye ever the infinite Wisdom,
วิธีการที่พวกเจ้าจะได้รับภูมิปัญญาอันไม่มีที่สินสุด
ever before thee recedes the goal.
เคยเป็นมาก่อนที่เจ้าจะลดเป้าหมายของเจ้าลง


Free are ye made now of the Halls of Amenti to walk hand in hand with the Lords of the world,
อิสระที่พวกเจ้าจะทำในบัดนี้ ของ the Halls of Amenti ที่จะเดินไปในมือด้วย the Lords of the world
one in one purpose, working together, bringers of Light to the children of men.”
1 ใน 1 ที่สำคัญ ทำงานทุกอย่าง นำพาแสงสว่างสู่ทายาทแห่งมนุษย์

แล้วเขาจะ 1 ใน อาจารย์
จับแขนของฉันและนำหน้าฉันไป
ผ่านทุกๆ Halls ของดินแดนที่ถูกซ่อนเร้น
เขานำฉันผ่าน the Halls of Amenti
แสดงความลึกลับที่มนุษย์ไม่รู้
ผ่านท่านเดินที่มืดมิด
เขานำฉันลงไปข้างล่าง ไปยัง Hall สถานที่แห่งความตายที่มืดมิด
เป็นพื้นที่ที่กว้างใหญ่ สุดยอดแห่ง Hall อยุ่ตรงหน้าฉัน
ล้อมรอบด้วยความมือแต่เติมเต็มด้วยแสงสว่าง

สิงที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าของฉัน คือ สุดยอดบัลลังค์แห่งความมืด
ที่ปกคลุมด้วยสัญญลักษณ์แห่งรัตติกาล

มืดมิดกว่า ความมืด

มืดมิดด้วยความมืดที่ไม่ใช่รัตติกาล
อาจารย์หยุดอยู่ เบื้องหน้าของมัน
พูดด้วยคำพูดแห่งชีวิต กล่าว่า
“โอ อาจารย์แห่งความมืด นำทางจากชีวิตสู่ไม่มีชีวิต ก่อนที่เราจะพบกับพระอาทิตย์ในตอนเช้า ไม่เคยสัมผัสเขาด้วยพลังแห่งรัตติกาล ไม่เรียกเปลวไฟของเขาเข้าสู่ความมืดแห่งรัตติกาล รู้จักเขาและดูเขา เขาคือ 1 ในพี่น้องของพวกเรา
ออกจาความมืดสู่แสงสว่างปลดปล่อยท่านจากการเป็นทาส อิสระจากความมืดมิดแห่งรัติกาล”

ออกมาจากที่นั่นจะสบายและสดใสยิ่งขึ้น
กลับออกมาจากม่านแห่งความมืดอย่างรวดเร็ว
เปิดเผย Hall จากความมืดแห่งรัติกาล
และแล้วพื่นที่ว่างที่ยิ่งใหญ่ก็เพิ่มขึ้นเบื้องหน้าของข้า

เปลวไฟหลังเปลวไฟ จากการปกคลุมของรัติกาล เป็นล้านๆไม่อาจนับได้อยู่เบื้องหน้าของฉัน บ้างก็แผ่แสงออกมาเหมือนดอกไม้ไฟ ส่วนอื่นๆก็แผ่รัศมีสลัวๆออกมา

เรืองแสงแต่รางๆ ปราศจากรัติกาล

บางแห่งก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
บางที่ก็มีประกายแห่งแสงสว่างเล็กๆเรืองแสงขึ้น
แต่ละแห่งถูกล้อมรอบด้วยความมืด

ก็ยังจรัสแสงด้วยแสงสว่างที่ไม่มีวันดับ

มาและไปเหมือนหิงห้อยในฤดูใบไม้ผลิ
เติมเต็มที่ว่างด้วยแสงสว่างและด้วยชีวิต

แล้วพูดด้วยเสียงที่ดังและเคร่งขรึม ว่า

นี่คือแสงสว่างจากจิตวิญญาณของเหล่ามนุษย์
เพิ่มขึ้นและจางลง
เป็นอย่างนี้ตลอดไป

เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จาก ตายไปสู่การมีชีวิต
When they have bloomed into flower reached the zenith of growth in their life swiftly then send I my veil of darkness,

เมื่อพวกเขามีเบ่งบานในดอกไม้ถึงสุดยอดของการเจริญเติบโตในชีวิตของพวกเขาอย่างรวดเร็วแล้วถูก ครอบงำด้วยความมืด
ห่อหุ้มและเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบชีวิตใหม่มากขึ้นอย่างมั่นคงตลอดอายุขัย
เจริญเติบโต,ขยายตัว ด้วยพลัง แสงแห่งความมืด ที่มากกว่า
จิตวิญญาณของมนุษย์จึงเกิดและดับ ในความมืดแห่งรัตติกาล

ฉัน,ตาย,มา และ ยัง ไม่สามารถคงอยู่เพื่อมีชีวิตตลอดนิรันดร์กาล
อุปสรรคเฉพาะในเส้นทางของฉันพิชิตได้อย่างรวดเร็วโดยแสงสว่างที่ไม่จำกัด
“ตื่นขึ้น ,O เปลวไฟนั่นได้เคยเผาทางเข้า เปลวไฟ ที่ออกมาและเอาชนะการครอบคลุมของรัตติกาล.

จากนั้นในท่ามกลางเปลวไฟในความมืดเพิ่มขึ้นมีหนึ่งดวงที่เคลื่อนมาแห่งรัตติกาล, โชติช่วง, ขยายแสงสว่างจนได้ที่สุดท้ายคือไม่เหลืออะไรนอกจากแสงสว่าง

แล้วคุยกับผู้นำทางของฉัน เสียงแห่งอาจารย์
“ดูดวงวิญญาณของคุณเองเป็นมันจะเติบโตในแสงสว่าง, ขณะนี้อิสระตลอดไปจาก Lord of the night”

เบื้องหน้าเขาพาฉัน ไปสู่ พื่นที่ที่ถูกเติมเต็มด้วยความลึกลับแห่ง ทายาทแห่งแสงสว่าง
.
ความลึกลับที่ผู้คนไม่อาจรู้แม้กระทั่งเขาด้วย นั่นคือ Sun of the Light

ถอยหลังแล้วเขาพาฉันไปในแสงสว่างแห่ง the Hall of the Light
ฉันคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นใหญ่แห่งสรรพสิ่ง จากวัฏจักรเบื้องบน
เขาพูดด้วยเสียงที่เปี่ยมด้วยพลังว่า :
“ท่านเป็นอิสระจาก the Halls of Amenti .เลือกท่านให้ทำงานอยู่ในหมู่มนุษย์”

แล้วฉันกล่าวกับว่า “O,อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ช่วยฉันให้เป็นอาจารย์แห่งมนุษย์ นำทางเขาให้มนุษย์ได้พบแสงสว่าง เป็นอิสระจากการครอบงำแห่งรัตติการรอบๆตัวเขา ให้ความรุ่งโรจน์ด้วยแสงสว่างแห่งเหล่ามนุษย์ “

แล้วกล่าวกับฉันว่า “ไป เป็นตามท่านต้องการ.ดังนั้น เป็น มันกำหนด. อาจารย์เป็นท่านของโชคชะตาท่าน อิสระที่จะรับหรือไม่รับสิ่งนี้ . รับพลังของท่าน ใช้ความรู้ของท่าน นำแสงสว่างสู่ทายาทแห่งมนุษย์”

ผู้อยู่อาศัยพาฉันขึ้นไป
ฉันอาศัยในหมู่ทายาทแห่งมนุษย์อีกครั้ง
สอนและแสดงทุกอย่างจากความรู้ของฉัน
Sun of the Light ,ไฟในมนุษย์
ขณะนี้ เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ฉันจะลงไปค้นหาแสงสว่างในความมืดมิดแห่งรัตติกาล.รอฉัน และ ปกป้องฉัน รักษาบันทึกของฉัน นำไปสู่ทายาทแห่งมนุษย์

Friday, March 2, 2012

ความลับแห่ง คัมภีร์มรกต : ความลับแผ่นที่ 1

อันดับแรกผมต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ผมไม่เก่งภาษาอังกฤษ หากต้องการอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษสามารถอ่านได้จาก http://www.horuscentre.org/library/Hermetism/The_Emerald_Tablets_Of_Thoth.pdf


ผมได้อ่านสรุปภาษาไทยจากหลายๆเว็บที่เหมือนกันราว Copy มาแปะ พบว่าไม่ตรงตามความเข้าใจที่ผมมานั่งแปล ซึ่งผมได้นั่งแปลทีละประโยคทีละบรรทัดออกมา เพื่อเปิดเผยเรื่องบางเรื่องที่อาจมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน



หลายๆคนเคยอ่าน The Meta Secret กันมาบ้างแล้ว แต่บางคนก้ยังไม่อ่าน เรื่องราวต่อไปนี้จะมีส่วนคล้ายกันอยู่บ้าง เพราะผู้เขียน คือ ด๊อกเตอร์ เมล กิล ได้เคยศึกษาคัมภีร์มรกต มาทำให้ผุ้เขียนสนใจอยากจะลองอ่านดู

ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมได้แปลและถอดความออกมา โปรดอ่านและใช้วิจารณาญาน



ฉัน Thoth ชาว Atlantean ผู้นำทางจิตวิญญาณผู้เก็บเรื่องราวของพลังเวทมนต์ที่ยิ่งใหญ่

มีชีวิตจากรุ่นสู่รุ่นมีชีวิตที่ผ่าน The Halls of Amenti

ทำการแนะนำผู้ที่มาทีหลังเกี่ยวกับเรื่องราว ภูมิปัญญาแห่งแอตแลนด์ตีสที่ยิ่งใหญ่
จากเมืองที่ชื่อว่า KEOR บนเกาะ UNDAL เวลายาวนานที่ผ่านไป ฉันสิ่งที่ฉันได้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
ยากที่จะให้คนที่ผ่านอะไรมาน้อยจะเข้าใจ ความยิ่งใหญ่ ของ Atlantis ตั้งแต่มีชีวิตจนถึงล่มสลาย
พวกเรามีการเกิดและตายไม่มีที่สิ้นสุด เราทุกคนมีชีวิตใน The Hall Of Amenti สถานที่ที่สายน้ำแห่งชีวิตไหล ไม่มีที่สิ้นสุด

นับพันครั้ง ที่ฉันนำทางผู้คนจากความมืดไปสุ่แสงสว่างและทุกๆครั้งในการนำทางจากความมืดสู่ความสว่าง พลังและความแข็งแกร่งของฉันจะเกิดขึ้นใหม่เสมอ


ขณะนี้ฉันได้อาศัยอยู่ กับผู้คนใน KHEM (Khem คือ อียิปท์โบราณ) ซึ่งไม่รู้จักฉันเลย

ช่วงเวลาที่ฉันยังไม่เกิดจนกระทั่งเกิดอีกครั้ง
พลังและศักยภาพ ของผุ้คนค่อยๆล้าหลังฉันไปเรื่อยๆ
ขอเตือนเจ้า O บุรุษแห่ง KHEM
"ถ้าเจ้าทรยศต่อคำสอนของฉัน ฉันจะโยนเจ้าลงมาจากหอคอยของเจ้า และจะนำพวกเจ้าไปสู่ความมืดแห่งถ้ำที่พวกเจ้าจากมา
ห้ามเผยความลับของฉัน แก่ผุ้คนทางเหนือ
หรือผุ้คนทางใต้

เพื่อไม่ให้คำสาปของฉันตกอยู่กับพวกเจ้า
จำและฟังคำพูดของฉัน
ฉันจะกลับมาอีกครั้งแน่นอนและต้องการให้พวกเจ้ารักษาของของฉันให้ดี แม้ว่าจะนานแค่ไหน หรือตายไปนานแค่ไหนฉันจะกลับมา
ให้รางวัลหรือลงโทษพวกเจ้าอยู่ที่ความซื่อสัตย์ของเจ้า




สถานที่ดีที่สุดของประชาชนของฉัน ยิ่งใหญ่เกินกว่าผุ้คนจำนวนน้อยรอบตัวฉันจะคาดคิด ภูมิปัญญาในอดีต
ค้นหาเข้าไปในหัวใจอันไม่มีที่สิ้นสุด ความรู้ตั้งแต่สมัยโลกถือกำเนิด
ความรอบรู้ของเราได้จากภูมิปัญญาของ ทายาทแห่งแสงสว่าง ผู้ที่อยู่กับพวกเรา
ให้ความแข็งแกร่งกับพวกเราด้วยพลังแห่งการสร้างสรรจากไฟที่ไม่มีวันดับ
และสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมดจะอยู่ใน ทายาทของมนุษย์ ผู้ซึ่งเป็นพ่อของฉัน



THOTME,ผู้รักษาวิหารที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้สื่อสารกับ ทายาทแห่งแสงสว่าง

ผุ้อาศัย ในวิหารและเป็นเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ที่มาจากเกาะทั้งสิบ

ผู้สื่อสาร ของ the Dweller of UNAL

กล่าวกับกษัตริย์ด้วยน้ำเสียงที่น่าเชื่อถือ ว่า

"ฉันจะเติบโตจากเด็กจนเป็นผุ้กล้าและได้รับคำสอนจากพ่อผู้ลึกลับ
จนกระทั่งเกิดไฟแห่งปัญญา จนกระทั่งออกมาจากเปลวไฟ
ไม่ใช่ฝืนความชะตาแต่เป็นควาสำเร็จของภูมิปัญญา
จนกระทั่งถึงวันมีคำสั่งจาก The Dweller of the Temple ทำให้ฉันมาก่อนเขา

มีบุตรแห่งมนุษย์จำนวนไม่มากนักที่ได้เห็นและอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ยิ่งใหญ่นั้น
ไม่เฉพาะบุตรแห่งมนุษย์ ที่กำเนิดในกายเนื้อ ที่สามารถเป็นบุตรแห่งแสงสว่าง


พวกเขาเลือกฉันจากบุตรแห่งมนุษย์ ทั้งหลาย สอนโดย The Dweller เพื่อเติมเต็มวัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์ที่จะไม่กำเนิด

ฉันอาศัยอยู่ในวิหารเป็นเวลายาวนาน เรียนรู้ความรู้ต่างๆมากมาย
จนกระทั่งแสงจากดวงไฟอันยิ่งใหญ่ส่งฉันมา


ส่งฉันไปสู่ Amenti อาณาจักรใต้โลกสถานที่ที่ราชาผู้ยิ่งใหญ่อาศัยอยู่บนราชบัลลังค์แห่งอำนาจของเขา ฉันให้ความเคารพอย่างสุดซึ๊งต่อ ราชาแห่งชีวิต และ ราชาแห่งความตาย
สิ่งที่ฉันได้รับจากเขาเป็นของขวัญ คือ กุญแจแห่งชีวิต
ฉันมีอิสระในการเข้าออก the Halls of Amenti
ไม่ต้องเข้าสู่วัฏจักรแห่งชีวิต

การเดินทางของฉันที่เดินทางผ่านดวงดาว อวกาศและเวลาไร้ความหมายทันที

เมื่อฉันได้ดื่มด่ำกับถ้วยแห่งความรอบรู้
ฉันมองเข้าไปในหัวใจที่มีความลึกลับ และ ความสุข
เพื่อการค้นหาความจริงเข้าในจิตวิญญาณของฉันและจะอยู่ จนกว่าเปลวไฟภายในใจจะดับ

อายุของฉันค่อยๆลดลง และได้เห็นผู้คนรอบข้างได้ลิ้มรสแห่งถ้วยแห่งความตาย และ กลับมาสู่แสงสว่างของชีวิตอีกครั้ง



ความทรงจำเดียวเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนตีส ค่อยๆจางหายไปจากความทรงจำของฉัน
แทนที่ด้วยความทรงจำของดาวที่ต่ำกว่า

โอวาทของอาจารย์ได้เติบโตเบ่งบาน



ลึกลงลงไปในความมืดมิด แห่งชาว Atlantis จนกระทั่งการประทุของ AGWANTI

บุตรแห่ง Amenti ได้รับรู้และได้พูดถึง
"พลังที่ลึกสู่ใจกลางโลกถึงการเปลี่ยนแปลงของ ดอกไม้เพลิงที่เผาไหม้อยู่ตลอดกาล เปลี่ยนแปลง และ ขยับ ,ใช้ LOGOS จนกระทั่ง กลายเป็นลูกไฟที่ยิ่งใหญ่ เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง เหนือขึ้นไปมีน้ำขนาดยักษ์ท่วมจนจม เป็นการเปลี่ยนแปลงสมดุลย์ของโลก จนกระทั่งวิหารแห่งแสงทรุดตัวลง

มีสถานที่ที่ยังคงอยู่เหนือน้ำตะหง่านอยู่บนหน้าผา ของ UNDAL
มีบางคนที่ยังมีชีวิตอยู่ รอดจากกระแสน้ำที่พุ่งขึ้นมา

เขาขอร้องฉันซึ่งเป็นอาจารย์

พูดว่า : "รวบรวมประชาชนของฉันด้วย ช่วยพวกเขาให้ข้ามน้ำไปด้วย จนกว่าพวกเขาจะถึงแผ่นดินแห่ง Hairy Barbarians ให้พาไปอาศัยในถ้ำแห่งทะเลทราย

ให้ทำตามแผนการ โดย รวบรวมผู้คนเข้าไปในเรือลำใหญ่ของท่านอาจารย์ ออกเรือในตอนเช้า
น้ำจะพุ่งขึ้นมา เรือจะลอยอยู่บน วิหารอันมืดมิด และหายไปจากโลกนี้"

จนกระทั่งถึงเวลาที่กำหนด
เราหนีออกอย่างรวดเร็วในตอนเช้า จนกระทั่งอยู่เหนือดินแดนของ ทายาทแห่ง KHEM
พวกป่าเถื่อน,พวกเขามาพร้อมอาวุธและหอก พวกเขายกกันมาเพื่อทำร้ายเราผู้เป็น บุตรแห่ง Atlantis จนกระทั่งคนของฉันใช้รังสีแห่งการสั่นสะเทือน ทำให้พวกเขาตกตะลึง ด้วยหินจากภูเขา ต่อจากนั้นฉันจึงเจรจาสงบศึก และเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของ Atlantis
บอกว่าเราเป็นบุตรแห่งพระอาทิตย์ และ เป็นผู้นำสาร เราทำให้พวกเขาตกใจกลัวด้วยการแสดง "เวทมนต์-วิทยาศาสตร์" จนพวกเขามาหมอบที่เท้าของฉัน ,จนกระทั่งฉันปล่อยพวกเขา



เป็นเวลายาวนานที่เราอาศัยบนดินแดนของ KHEM ยาวนานและยาวนานไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งคำสั่งของท่านอาจารย์ผู้ซึ่งหลับไปอย่างนิรันดร์
ฉันจึงส่ง บุตรแห่ง Atlantis,ส่งพวกเขาไปในที่ต่างๆ
จากจุดกำเนิดแห่งกาลเวลา ภูมิปัญญาอาจเพิ่มขึ้นอีกครั้งในพวกเด็กๆ


เป็นเวลานานที่อาศัยในดินแดนแห่ง KHEM
ฉันทำสิ่งที่สุดยิ่งใหญ่ด้วยความรู้ของฉัน
พัฒนาแสงแห่งความรู้ให้กับบุตรแห่ง KHEM รดน้ำแห่งความรู้ของฉัน

หากเส้นทางสู้ Amenti ผิดพลาด ฉันจำเป็นต้องรักษาอำนาจของฉัน ให้มีอยู่เท่าๆกับดวงอาทิตย์แห่ง Atlantis รักษาภูมิปัญญาและความทรงจำไว้ บุตรแห่ง KHEM ที่เก่งกล้ามีจำนวนน้อย มีความแตกต่างจากคนรอบข้าง กำลังเติบโตด้านพลังวิญญาณอย่างช้าๆ

ขณะนี้เป็นเวลาที่ฉันจะต้องจากเขาไปสู่ The Dark Halls of Amenti สถานที่ลึกที่สุดของโลก

ก่อนที่เจ้าแห่งพลังประจันหน้ากับ the Dweller อีกครั้ง


ยกฉันให้สูงกว่าทางเข้า,ทางหน้าต่าง,ทางประตู นำทางสู่ Amenti
น้อยคนที่จะกล้าเผชิญหน้ากับมัน
น้อยคนจะสามารถผ่านสู่ความมืดของ Amenti
ยกฉันให้สูงจากพื้น,พิรามิดอันยิ่งใหญ่ พลังแห่งโลก
ส่วนที่ลึกและลึกกว่าห้องของฉัน จากเส้นทางวงกลม ถึงห้องโถงใหญ่

ตรงยอดปลายให้วางแก้วผลึก ส่งรังสีไปถึง “Time-Space”
ให้แรงดึงดูดส่งไปถึงภายนอก มุ่งไปยังประตูถึง Amenti

ห้องอื่นๆ ฉันสร้างเพื่อซ่อนกุญแจสู่ Amenti
"เขา" ผู้ต้องการไปสู่อาณาจักรแห่งความมืด ต้องให้เขาทำตัวให้บริสุทธิ์โดยการอดอาหาร
นอนในโลงหินในห้องของฉัน แล้วฉันจะเปิดเผยให้เขารู้เรื่องลึกลับที่ยิ่งใหญ่
ไม่นานเขาจะตามหาสถานที่ที่ฉันจะได้พบเขา แม้ในโลกแห่งความมืดมิด ฉันต้องพบเขาให้ได้
ฉัน Thoth เจ้าแห่งความรู้ จะรอเขาและพบเขา และอาศัยอยู่กับเขาเสมอ


ฉันสร้างพีระมิดที่ยิ่งใหญ่
หลังจากพีระมิดของโลก ถูกเผา
เพื่อให้มันยังคงอยู่ต่อไป
ในนั้น ฉันได้บรรจุความรู้แห่ง “เวทมนต์-วิทยาศาสตร์”
เพื่อที่ฉันจะกลับมาที่นี่อีกหลังหลังจากกลับมาจาก Amenti
ใช่,ตอนนี้ฉันนอนใน The Halls of Amenti

วิญญาณฉันเป็นอิสระที่จะเกิด อาศัยอยู่ในมนุษย์หรืออื่นๆ
ฉันเป็นฑูตที่อาศัยอยู่บนโลก ฉันต้องปฏิบัติตามกฏจำนวนมากของเขา
บัดนี้ฉันกลับสู่ The halls of Amenti

ได้สิ่งความรู้ต่างๆของฉันไว้ข้างหลัง
ให้พวกเจ้าเก็บรักษาคำสั่งของ the Dweller
เงยหน้ามองไปที่แสง
เวลาแน่นอน ,ท่านอาจารย์อยู่ในพวกเจ้า
แน่นอนท่านคนหนึ่งมีสิทธิ์เป็นท่านอาจารย์
แน่นอนท่านทั้งหมดคือหนึ่งเดียวกัน


บัดนี้เราต้องจากพวกท่าน รู้บัญญัติของข้า รักษาและจงเป็น
และฉันจะอยู่กับพวกเจ้า ช่วยและนำทางพวกเจ้าสู่แสงสว่าง


บัดนี้ฉันจะเปิดประตูไปสู่ความมืดของค่ำคืน


ความเห็น :

Amenti น่าจะเป็นโลกแห่งความตายมากกว่า หลายๆคนแปล เอนไปทางมนุษย์ต่างดาว
นี่คือสิ่งที่ลึกลับต้องศึกษากันต่อไปครับ

Tuesday, March 15, 2011

เลือกที่จะตั้งเป้าหมายชีวิตด้วยตนเอง

"เลือกที่จะตั้งเป้าหมายชีวิตด้วยตนเอง" คำนี้อาจจะฟังดูแปลกๆนะครับ แต่สำหรับผมมันไม่แปลกเลย เพราะเท่าที่ผมได้พูดคุยกับผู้คนมาบ้าง ก็พบว่าหลายๆคนในสังคมเรานี้ไม่มีเป้าหมายชีวิตเป็นของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น "ทำไม?คุณถึงเลือกเรียนคณะนี้ ทำไมไม่เรียนคณะอื่น" คำตอบ คือ "ก็เรียนให้จบๆจะได้มีวุฒิไว้สมัครงาน" หรือ "พ่อ/แม่เลือกให้ฉันเรียนคณะนี้" หรือ "เรียนเพราะจบไปจะได้ทำงานเงินเดือนดีๆ" หรือ "ฉันเรียนคณะนี้เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ตกงาน" นั่นแสดงถึงการไปเป็นผู้เลือกของบุคคลเหล่านั้น ซึ่งมีเป็นจำนวนมากในสังคม มันเหมือนทุกคนใช้บันไดพาดไปบนกำแพงโดยไม่รู้จุดหมายปลายทางว่าตรงกับสิ่งที่ใจต้องการรึป่าว?
"วันเวลาเหมือนสายน้ำที่ไหลไปไม่ไหลกลับ ชีิวิตคนเราก็เช่นกัน ผ่านแล้วผ่านเลย"
เราจำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ดังนั้นคุณจึงควรมีเป้าหมาย ก่อนที่คุณจะเดินทางคุณต้องรู้ ว่าปลายทางชีวิตคุณต้องการอะไร
นี่เป็นคำถามที่คุณจะต้องถามตนเองให้ได้ว่า "ชีวิตนี้คุณต้องการอะไร?" หรือง่าย "ความฝันคุณคืออะไร?" คุณจำเป็นต้องเข้าใจตัวเองซะก่อน อย่างเพิ่งรีบตอบ ขอให้คุณค่อยๆถามตนเอง

เป้าหมายชีวิต หรือ ความฝันของคุณ จำเป็นต้องเป็นความฝันแท้ๆของชีวิตของคุณ เป็นสิ่งที่อยู่ภายในใจของคุณอยู่เสมอ หากคุณค้นพบคำตอบ เปรียบเหมือนคุณจะได้ เข็มทิศชีวิต ของตัวคุณเอง คุณจะค้นพบ แผนที่ชีวิต ของคุณ ซึ่งข้อนี้ไม่มีใครจะบอกคุณได้นอกจากตัวคุณเอง

ฉันจะค้นหาความฝันของฉันได้อย่างไร?
ขอให้คุณใช้เวลากับตัวเองซักวันละ 10 นาทีก่อนนอน ปลีกตัวอยู่คนเดียว อยู่กับความเงียบ หยุดคิดถึงสิ่งต่างๆ สิ่งท้าทายต่างๆในการใช้ชีวิต หรือการทำงาน หาปากกาและกระดาษมาวางไว้ข้างหน้า ทำสมาธิซัก 1-2 นาที แล้วตั้งคำถามว่า ชีวิตนี้ฉันต้องการอะไร? แล้วเขียนมันลงไปทุกๆวัน แล้วคุณจะค้นพบมัน ความต้องการที่แท้จริงของคุณไม่จำเป็นต้องเป็นวัตถุสิ่งของ แต่มันอาจเป็นวิถีชีวิตที่คุณต้องการก็ได้ เป้าหมายชีวิตที่คุณจะพบเจอ ก็คือทุกครั้งที่คุณคิดถึงมันคุณจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้คิดถึงสิ่งนั้นๆไม่ว่าคุณจะรู้สึกไม่ดีหรือหดหู่ นั่นล่ะครับคือเป้าหมายที่แท้จริงของคุณ

หลังจากนั้นคุณก็ต้องวางเป้าหมายระยะกลาง ว่าระหว่างทางคุณจะต้องทำอะไรให้สำเีร็จบ้างว่า 5-6ปีถัดจากนี้ชีวิตคุณจะต้องเป็นอย่างไร และเป้าหมายระยะสั้นคุณจะต้องทำอะไร

เป้าหมายที่ดีนั้นต้องมีการระบุระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น วันที่ เดือน ปีไหนจะต้องได้ในสิ่งๆนั้น เหมือนกับเครื่องบินที่จะต้องขึ้นและลงตามเวลาที่กำหนด

ขอให้คุณค้นพบความฝัน หรือ เป้าหมายชีวิตของคุณนะครับ

Sunday, March 6, 2011

คุณเป็นผู้เลือกเสมอ

ชีวิตนี้คุณเป็นผู้เลือก คุณเป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตตนเอง คุณเป็นผู้เลือกว่าจะอยู่ที่เมืองใดบนโลกใบนี้ คุณไม่ต้องอยู่ในประเทศไทยก็ได้ในเวลานี้ คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง หรือ เมืองใดเมืองหนึ่งเวลานี้ก็ได้ คุณเลือกที่จะทำอะไรเวลานี้ก็ได้ คุณมีอิสระภาพที่จะคิด หรือ จะทำอะไรในเวลานี้ก็ได้ คุณเป็นผู้เลือกเสมอ...
ตอนนี้คุณอาจคิดว่า ใครบอกว่าฉันเป็นผู้เลือก พ่อของฉันเป็นคนเลือกสถานที่เรียนให้ฉันทั้งๆที่ฉันไม่ชอบ แม่ฉันเลือกให้ฉันเรียนหมอทั้งๆที่ฉันอยากเรียนจิตรกรรม เจ้านายกำหนดให้ฉันทำ โน่น..นี่..นั่น ถ้าฉันไม่ทำฉันจะถูกไล่ออก ฉันไม่สามารถเลือกในสิ่งที่ฉันอยากทำได้เลย
อับราฮัม ลินคอล์น เคยกล่าวไว้ว่า "You always think you're right" แปลว่า "ไม่ว่าคุณคิดอย่างไร คุณคิดถูกเสมอ"
อยากให้คุณลองทบทวนอะไรบางอย่าง ในแต่ละครั้งคุณเองก็เป็นคนเลือก เลือกที่ จะ "ทำตาม" หรือ "ไม่ทำตาม" เลือกที่จะ "เชื่อ" หรือ "ไม่เชื่อ" เลือกที่จะ "พูด" หรือ "ไม่พูด" เลือกที่จะ "คิด" หรือ "ไม่คิด"

การเลือกที่ดีที่สุด คือ การเลือกโดยปราศจากสิ่งเร้า
สิ่งเร้า คือ อะไร?
สิ่งเร้า (Stimulus) คือ สิ่งที่มากระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมตอบสนอง เช่น ถ้าคุณไม่ทำงานตามสิ่งที่นายจ้างสั่งคุณจะถูกไล่ออก หรือ ถ้าคุณไม่มีงานประจำคุณก็จะไม่มีรายได้ หรือ มีคนต่อว่าคุณ หรือโดนแซว หรือชม คุณก็จะมีสิ่งตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้นได้ทั้ง "ลบ" และ "บวก"

ผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายๆคนสามารถเลือก โดย ปราศจากสิ่งเร้า ยกตัวอย่างเช่น บิล เกตส์,สตีฟ จ๊อบส์,มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก เจ้าของ facebook,แลร์รี เพจ และ เซอร์เกย์ บริน ผู้ก่อตั้ง Google,ฮาวาร์ด ชูลท์ซ ผู้ก่อตั้ง สตาร์บัคส์,พันเอกฮาร์แลนด์ เดวิด แซนเดอร์ส ผู้ทำให้เกิด KFC หรือแม้กระทั่ง พี่น้องตระกูลไรท์ ต่างก็เลือกทำตามสิ่งที่ใจเขาต้องการ และรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาเลือก

หากคุณต้องการก้าวไปข้างหน้า หรือ ประสบความสำเร็จในสิ่งที่คุณต้องการ ขอให้คุณเข้าใจว่า "คุณเป็นผู้เลือก" เสมอ